การให้เด็กใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน ในอาคาร โดยไม่ปล่อยให้ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งบ้างนั้น ท่านผู้ปกครองควรรู้ไว้ว่า การจำกัดเรื่องดังกล่าว อาจทำให้บุตรหลานมีปัญหาสายตาสั้นได้
มีการศึกษาที่ไต้หวัน โดยไป่ ชาง วู นักวิจัยจากโรงพยาบาลในเกาสง ไปศึกษากับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักเรียนชั้นประถมราว 300 คน จากโรงเรียนสองแห่งใกล้ๆ กัน โดยพฤติกรรมของเด็กโรงเรียนหนึ่งมักออกมาวิ่งเล่นหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง ขณะที่เด็กๆ อีกโรงเรียนชอบที่จะทำกิจกรรมยามว่างภายในตัวอาคารเรียนมากกว่า
เมื่อนำเด็กทั้งสองโรงเรียนมาตรวจวัดสายตา พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญอยู่บ้าง โดยผู้วิจัยได้แนะว่า ทั้งผู้ปกครองและครู ควรให้ความสำคัญกับการออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งของเด็ก เพราะแสงสว่างจากธรรมชาติมีส่วนปกป้องพัฒนาการทางสายตาและการมองเห็นของเด็กๆ ลดโอกาสเปิดปัญหาสายตาสั้น
นอกจากนี้ ยังมีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยซุนยัดเซ็น แดนมังกร ชี้ให้เห็นว่า เด็กที่มักเรียนและเล่นอยู่แต่ในตัวอาคาร ส่วนใหญ่มีการเจริญเติบโตของลูกนัยน์ตายาวเฉลี่ย 0.19 มม. ส่วนเด็กที่ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งมากกว่า ลูกนัยน์ตาเจริญเติบโตยาวเฉลี่ยที่ 0.12 มม. ทั้งนี้โดยหลักการแล้ว ถ้าลูกตามีขนาดยาวมากก็จะทำให้สายตาสั้นมาก และเมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ นักวิจัยจากจีนก็เห็นพ้องว่า ผู้ใหญ่ควรจัดสรรเวลาให้เด็กๆ ออกมาเล่นหรือทำกิจกรรมนอกบ้านบ้าง
แม้ปัญหาสายตาสั้น จะสามารถแก้ไขได้หลายวิธี แต่ก็กระทบต่อการใช้ชีวิตและอาจทำให้เกิดปัญหาสายตาอื่นๆ ในอนาคตได้ เช่น โรคต้อหิน จอประสาทตาฉีกขาดและหลุดลอก ฉะนั้น ลดโอกาสเกิดปัญหาสายตาสั้นไว้คงดีที่สุด.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น