วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

7 พฤติกรรมการกินยอดแย่ ที่พาแก่เร็ว

สุขภาพ จะดีหรือไม่  อยู่ที่ “ปาก” ของเราเป็นหลัก ด้วยการกินนี่เองที่ทำให้เกิดปาฏิหาริย์
รักษาโรคได้และทำให้เจ็บป่วยได้ก็ มาจากการกินเหมือนกัน กินดีได้ดี กินร้ายได้ร้าย 

ซึ่งการกินที่ควรเลี่ยงให้น้อยที่สุดหรือปลอดไปเลยมีอยู่ 7 ประการดังนี้

                            
1. กินหวาน ไม่ ได้หมายถึงห้ามเด็ดขาดเลยครับเพียงแค่ขอให้ “อ่อนหวาน” ลงเพื่อจะได้
คงสุขภาพที่ดีไว้นานๆ ทั้งอาหาร ของหวานและเครื่องดื่มครับ แค่นี้รอบพุงก็ไม่เกิดอาการ
 “ปลิ้น” แล้ว



2. กินไม่เคี้ยว สังคมยุคใหม่ต้องรีบกินจึงทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาจากอาหารที่ 
“เคี้ยวน้อย” ขอให้ท่านที่รักยอมเสียเวลาสักนิด ตั้งใจเคี้ยวสักคำละ 10 ครั้งจนติดเป็นนิสัย
จะทำให้ได้สุขภาพดีทั้งสมองและทางเดินอาหาร



3. กินดึก การรับประทานมากกว่า 3 มื้อหรือเพิ่มมื้อพิเศษยามราตรีเข้ามาจะพาให้สุขภาพ 
แย่ลงเร็วครับ เพราะร่างกายถูกดีไซน์มาให้พักผ่อนตอนกลางคืน คนที่กินดึกจะเสี่ยงต่อ
โรคอ้วน นอนไม่หลับ กรดไหลย้อนและอีกมาก การกินดึกจึงเป็นบ่อนทำลายสุขภาพ
อย่างเร็วยิ่งทางหนึ่ง



4. กินแล้วนิ่ง กินแล้วไม่ขยับเข้าสู่ภาวะจำศีลหรือนั่งแปะอยู่แต่กับเก้าอี้ทำงานหลัง
อาหารมื้อใหญ่ล้วนเป็นภัยต่อสุขภาพ อย่างร้ายแรงครับ โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง 
ความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจจะถามหา ขอให้หาทางออกกำลังกายหรือขยับตัวบ้าง
สร้างให้ติดเป็นนิสัยจะดีที่สุด


5. กินอิ่มแล้วอิ่มอีก การรับประทานอาหารด้วยความ “อยาก” มากกว่า “หิว” หรือ
การกินบุฟเฟ่ต์ที่ต้องพยายามกินทรมานมากกว่าอร่อยบ่อยๆ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 
โดยรวม นอกจากทำให้ร่างกายติดนิสัยการกินจุแล้วยังทำให้ได้รับแคลอรีเกินความ
ต้องการต่อวันอย่างน่าตกใจ



6. กินซ้ำ วิถีชีวิตคนทำงานมักเกิดอาการกินซ้ำได้บ่อยครับ เป็นมนุษย์กะเพราไก่ 
มนุษย์ข้าวไข่เจียวหรือมนุษย์บะหมี่ซอง กินเข้าไปก็ยิ่งไปซ้ำเติมสุขภาพให้ได้รับ
แต่สารอาหารซ้ำๆ ลองนึกดูว่าถ้ามีพิษก็จะได้พิษสะสมซ้ำๆ เช่นกัน




7. ปรุงก่อนกิน ท่านที่ชอบเติม เปรี้ยว เค็ม หวานฯลฯ เกิดอาการ “ติดปรุง” ขอให้
ค่อยๆ เปลี่ยนดีกว่าครับ เพราะวันหนึ่งคนเราไม่ควรได้น้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา ส่วน
น้ำปลานั้นก็ไม่น่าเกิน 3 ช้อนชาครับ ทั้งนี้คือรวมทั้งที่มีอยู่ในอาหารนั้นๆ แล้วด้วย 
ดังนั้นจะเห็นว่ายิ่งปรุงเพิ่มยิ่งเสี่ยง

ทั้ง 7 ประการเป็นการกินที่ควรมีให้น้อยที่สุดหรือถ้าเลี่ยงได้ยิ่งดี เพราะอวัยวะในตัวเรา
หลายอย่างถ้าเสียไปเพราะการกินแล้ว “ซ่อมไม่ได้” และ “ไม่มีอะไหล่เปลี่ยน” 
อย่างสมอง กระเพาะอาหาร ตับหรือไตครับที่ใช้ของใครก็ไม่เหมือนของตัวเอง

ภาพจากอินเทอร์เน็ตและข้อมูลจาก http://www.kruthai.info

13 อาการที่เป็นสัญญาณก่อโรคมะเร็ง

ร่างกายเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากไม่หมั่นสังเกต

 คุณอาจไม่รู้ว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแข็งแรงขึ้น หรือย่ำแย่ลงสัญญาณเตือนต่อไปนี้
อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณหันมาทบทวน และปรับปรุงตัวเองก่อนที่ปัญหาเล็กๆ จะลุกลาม
กลายเป็นเรื่องใหญ่ 13 อาการสัญญาณก่อโรคมะเร็งควรรีไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังนี้
 
1. หายใจมีเสียงหวีดหรือหายใจไม่ทัน
 หนึ่งในอาการแรกของโรคมะเร็งปอดที่ผู้ป่วยนึกออกเมื่อมองย้อนกลับไปดูก็คืออาการหายใจไม่ทัน
 
2. ไอเรื้อรังหรือเจ็บหน้าอก มะเร็งหลายชนิ
 รวมถึงมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งปอดอาจทำให้มีอาการคล้ายกับไอเรื้อรังหรือหลอดลม
อักเสบได้ แต่การไอของโรคมะเร็งจะมีความแตกต่างคือเป็นเรื้อรังหรือเป็นๆ หายๆ นอกจากนี้
ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดบางรายยังมีอาการปวดหน้าอกที่ลามไปยังไหล่หรือแขนอีกด้วย
 
3. มีไข้หรือติดเชื้อบ่อย
 อาการนี้อาจเป็นอาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดขาว
ที่ผิดปกติและจะไปเบียดเบียนเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติ ทำให้ร่างกายขาดความสามารถในการ
ต่อสู้กับเชื้อโรค แพทย์มักตรวจพบมะเร็งเม็ดเลือดขาวในผู้ใหญ่ที่ป่วยและมาพบแพทย์ซ้ำๆ 
ด้วยอาการไข้ ปวดเมื่อยตัว และอาการคล้ายไข้หวัดเป็นเวลานาน
 
 4. กลืนลำบาก
 แม้อาการนี้จะสัมพันธ์กับมะเร็งในหลอดอาหารหรือลำคอที่สุด แต่บางครั้งอาการกลืนอาหาร
ลำบากก็เป็นสัญญาณแรกของมะเร็งปอดได้เช่นกัน
 
5. ต่อมน้ำเหลืองโตหรือก้อนที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ
 ภาวะต่อมน้ำเหลืองโตบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบน้ำเหลืองซึ่งอาจจะเป็นอาการของ
โรคมะเร็ง เป็นต้นว่า ก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองโตที่ใต้รักแร้อาจเป็นอาการของโรคมะเร็งเต้านม 
ขณะที่ก้อนที่ลำคอ รักแร้ หรือขาหนีบที่ไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรค
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
 
 6. รอยฟกช้ำหรือเลือดออกไม่หยุด 
อาการนี้มักชี้ถึงความผิดปกติของเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดแดงซึ่งอาจเป็นอาการของโรคมะเร็ง
เม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางรายพบรอยช้ำที่บริเวณแปลกๆ เช่น ตามนิ้วและ
มือ ทั้งยังมีรอยแดงที่ใบหน้า ลำคอ และหน้าอก หรือมีอาการเลือดออกที่เหงือก เนื่องจากเซลล์
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นจนไปเบียดเบียนเซลล์เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด ทำให้
ความสามารถในการนำส่งออกซิเจนและแข็งตัวของเลือดลดลง
       
 7. ปวดท้องน้อยหรือปวดท้อง 
อาการปวดท้องน้อยเพียงอย่างเดียวอาจหมายถึงได้ทั้งภาวะพังผืดในมดลูก ซีสต์ในรังไข่ และ
ความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์อื่นๆ แพทย์จึงมักไม่สงสัยเรื่องโรคมะเร็ง ดังนั้นคุณจึงควรขอให้
แพทย์ตรวจร่างกายโดยละเอียด เนื่องจากอาการปวดและตะคริวที่ท้องน้อยหรือช่องท้องอาจ
เกิดร่วมกับอาการท้องอืดซึ่งเป็นอาการของโรคมะเร็งรังไข่ได้ นอกจากนี้การขยายตัวของ
ม้ามในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็อาจก่อให้เกิดอาการปวดท้องเช่นกัน
 
8. อาการเลือดออกที่ทวารหนักหรือถ่ายปนเลือด 
หลายคนอาจคิดว่าอาการถ่ายปนเลือดเป็นแค่ริดสีดวงเป็นอาการโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

9 . อาหารไม่ย่อยหรือปวดกระเพาะ
 อาจฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก็ช่วยให้แพทย์สั่งตรวจอัลตราซาวนด์และสามารถพบมะเร็งตับ
ได้แต่เนิ่นๆ อีกทั้งอาการปวดเกร็งช่องท้องหรืออาหารไม่ย่อยเป็นประจำอาจแสดงถึงโรค
มะเร็งลำไส้ใหญ่

10. เต้านมบวม แดง หรือเจ็บ 
อาจบ่งชี้ถึงโรคมะเร็งเต้านมชนิดอักเสบ (inflammatory breast cancer) ซึ่งมีอาการบวม 
ร้อนที่เต้านม สีที่เปลี่ยนไปเป็นแดงหรือม่วงก็ถือเป็นอีกหนึ่งอาการที่ควรระวังไม่ต่างจากพบ
รอยบุ๋มคล้ายผิวส้มที่ผิวเต้านม นอกจากนี้โรคมะเร็งเต้านมชนิดอักเสบยังอาจก่อให้เกิดอาการ
อื่นๆ ที่หัวนม เช่น อาการคัน ผิวลอกเป็นแผ่น หรือแตกเป็นสะเก็ดได้อีกด้วย
    
11. ประจำเดือนมามากหรือปวดประจำเดือนผิดปกติ 
หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอย นี่คือสัญญาณของโรคมะเร็งที่เยื่อบุโพรงมดลูกหรือมดลูก 
หากคุณสงสัยว่าอาการประจำเดือนออกมากของคุณมีสาเหตุแอบแฝง ก็ลองขอให้แพทย์ทำ
อัลตราซาวนด์ผ่านช่องคลอดดูได้ค่ะ
 
12. อาการบวมที่ใบหน้า
 ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดบางรายมีอาการบวมหรือแดงที่ใบหน้า ซึ่งเป็นเพราะมะเร็งปอดชนิด
เซลล์เล็ก (small cell lung cancer) มักจะไปกดเส้นเลือดแดงในหน้าอก ทำให้เลือดไหล
เวียนจากศีรษะและใบหน้าไม่สะดวก
   
13. ความผิดปกติที่เล็บ
 จุดหรือเส้นสีดำใต้เล็บบ่งถึงอาการของโรคมะเร็งผิวหนัง ขณะที่อาการ “นิ้วปุ้ม” ซึ่งปลายนิ้วมือ
พองนูนและปลายเล็บงุ้มลงเข้าหานิ้ว อาจเป็นอาการของโรคปอด 

ถ้าเล็บที่มีสีซีดหรือเปลี่ยนเป็นสีขาวอาจมีสาเหตุมาจากการทำงานของตับที่ลดลง 
ซึ่งอาจหมายถึงโรคมะเร็งตับได้

ข้อมูลจาก http://www.teenee.com

5 กลิ่นอาหาร ที่จะช่วยให้คุณผอม!


1. กลิ่นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 


                                                 

ผลการศึกษาจากศูนย์วิจัยเคมีอาหารของเยอรมนีพบว่า เพียงสูดกลิ่นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 

ก็สามารถทำให้เรารู้สึกอิ่มขึ้นมาได้ง่าย ๆ และยังได้ทำการทดลองใส่น้ำมันมะกอกสกัดลงใน
โยเกิร์ต และพบว่า คนที่รับประทานโยเกิร์ตที่ใส่น้ำมันสกัด จะมีอัตราบริโภคแคลอรี่น้อยลง 
และมีระดับน้ำตาลในเลือดที่ดีขึ้นกว่าคนที่กินโยเกิร์ตธรรมดา นอกจากนี้น้ำมันมะกอก
บริสุทธิ์ยังช่วยกระตุ้นสารเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกอิ่ม และยังอุดมไปด้วย MUFAs 
ไขมันดีที่ช่วยเผาผลาญไขมันบนหน้าท้องเราด้วย 

2. กลิ่นกระเทียม 
                                           


กลิ่นที่รุนแรงของอาหารจะทำให้เรากินอาหารได้น้อยลง ดังนั้นหากไม่อยากรับประทานเยอะเกินไป 

ก็ลองสั่งเมนูที่มีส่วนประกอบของเครื่องเทศกลิ่นแรงอย่าง พริก กระเทียม หอม พริกไทย หรือจะใส่
เครื่องเทศเหล่านี้ลงในอาหารที่กำลังจะทานสักเล็กน้อยก็ได้


3. กลิ่นแอปเปิลเขียว และกลิ่นกล้วย 





ผลการศึกษาจากองค์กรการบำบัดด้วยกลิ่นและรสชาติพบว่า คนอ้วนที่ดมกลิ่นแอปเปิลเขียว 

และกล้วยในขณะที่หิวจัด จะลดน้ำหนักได้มากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกลิ่นหอมในระดับพอดี ๆ 
ของผลไม้ทั้ง 2 ชนิดนี้ ที่ทำให้ร่างกายควบคุมความอยากอาหารได้ดีกว่าปกติ ซึ่งนอกจาก
กล้วยและแอปเปิลเขียวแล้ว กลิ่นวานิลลาและกลิ่นเปปเปอร์มินต์ก็ใช้ทดแทนได้เหมือนกัน

4. กลิ่นยี่หร่า 




ชาวอิตาลีใช้ยี่หร่าล้างปากระหว่างมื้ออาหารเพื่อไม่ให้ทานอาหารมากเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับ

การศึกษาของ West Coast Institute of Aromatherapy ที่บอกว่า ยี่หร่ามีสรรพคุณยับยั้ง
ความอยากอาหาร และทำให้เรากินอาหารได้น้อยลง

5. กลิ่นเกรปฟรุต หรือผลไม้จำพวกส้ม 

                                       

ผลไม้ตระกูลส้มเป็นผลไม้ที่คนไดเอตมักจะทานเพื่อให้น้ำหนักลด เพราะมีไลโคปีน วิตามินซี 

และไซตรัสสูง แต่แค่กลิ่นของมันก็สามารถช่วยลดน้ำหนักได้แล้ว โดยผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย
โอกาซา ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองกับหนูและพบว่า หนูที่ได้กลิ่นน้ำมันเกรปฟรุต 15 นาที 
จะช่วยลดความอยากอาหารและทำให้น้ำหนักลดลงด้วย ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่า กลิ่นของผลไม้จำพวกส้ม 
น่าจะมีผลต่อเอนไซม์ในตับเรานั่นเอง


ภาพจากอินเทอร์เน็ตและข้อมูลจาก http://www.kruthai.info

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

นักวิจัยพบ“ซาร์ส” มาจากค้างคาว

นักวิจัยพบต้นกำเนิดโรคซาร์สมาจากค้างคาว (บีบีซี)


นักวิจัยเจอหลักฐานหนักแน่นชี้ไวรัสก่อ “โรคซาร์ส” มีกำเนิดมาจากค้างคาวจีน 
โดยพบไวรัสโคโรนา 2 ชนิด ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสก่อโรคในคน 
       
       นักวิทยาศาสตร์พบไวรัสโคโรนา 2 ชนิดในค้างคาวมงกุฏจีน (Chinese 
horseshoe bat) ซึ่งไวรัสดังกลาวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสก่อโรคซาร์ส 
(Sars) ในคน และไวรัสติดเชื้อในเซลล์มนุษย์ด้วยวิธีเดียวกัน คือ จับกับตัวรับ
(receptor) ที่เรียกว่า  ACE2
       
       การค้นพบดังกล่าว บ่งชี้ว่าไวรัสโคโรนาดังกล่าวสามารถย้ายจากค้างคาว
มาก่อโรคในคนได้โดยตรง มากกว่าจะอาศัยตัวอย่างชะมดเป็นพาหะนำโรคเหมือน
ที่เข้าใจก่อนหน้านี้ ซึ่งบีบีซีนิวส์รายงานว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ตีพิมพ์ผลงาน
ลงวารสารเนเจอร์ (Nature)
       
       อ้างตาม แกรี คราเมอริ (Gary Crameri) นักไวรัสวิทยาจากองค์การวิจัย
วิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งเครือจักรภพ (CSIRO) ออสเตรเลีย และผู้เขียน
รายงานในเนเจอร์กล่าวว่า งานวิจัยนี้เป็นกุญแจไขสู่การพิจารณาเกี่ยวกับค้างคาว
ในฐานะจุดเริ่มต้นให้เกิดการระบาดของซาร์ส
       
       งานวิจัยเผยให้เห็นว่าไวรัสโคโรนาที่คล้ายไวรัสซาร์สที่ติดต่อในคนนี้มีพันธุกรรม
คล้ายคลึงกันถึง 95% และข้อมูลดังกล่าวยังนำไปใช้เพื่อพัฒนาวัคซีนตัวใหม่และ
ยาใหม่ๆ สำหรับต่อสู้กับโรคได้ และเป็นการสาธิตถึงไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ที่
คุกคามมนุษย์ ทั้งนี้ โรคซาร์สระบาดระหว่างเดือน พ.ย.2002 - ก.ค.2003 
ซึ่งมีผู้ป่วยจากโรคนี้ทั่วโลกมากกว่า 8,000 คน และมากกว่า 770 คน เสียชีวิต

ไวรัสใช้ช่องทางเดียวกันในการจู่โจมเซลล์มนุษย์ (บีบีซี)


 ด้าน ดร.ปีเตอร์ แดสแซก (Dr.Peter Daszak) ประธานสมาพันธ์อีโคเฮลธ์ 
(EcoHealth Alliance) และหนึ่งในผู้เขียนรายงานลงวารเนเจอร์ กล่าวว่า 
ไวรัสโคโรนานั้นมีวิวัฒนาการที่รวดเร็วมาก โดยชนิดที่เพิ่งได้เห็นนี้วิวัฒนาการ
จากสปีชีส์หนึ่งไปเป็นอีกสปีชีส์ได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นเรื่องไม่ปกตินักสำหรับ
ไวรัส และคำถามสำคัญคือทำพวกมันถึงอุบัติขึ้นมาตอนนี้
       
       รายงานบีบีซีนิวส์ยังฉายภาพไปถึงตลาดค้าสัตว์ป่าของจีนที่ทั้งสัตว์อื่นๆ 
และมนุษย์ต่างเข้าไปสัมผัสกับค้างคาวอย่างใกล้ชิด สร้างสภาพแวดล้อมราว
สวรรค์สำหรับไวรัสที่จะกระโดดจากสปีชีส์หนึ่งไปยังอีกสปีชีส์หนึ่ง หรือแม้แต่
การล่าสัตว์หรืออาศัยอยู่ใกล้ถ้ำค้างคาว ก็เป็นความเสี่ยงใหญ่หลวงที่จะติดเชื้อ
ไวรัสดังกล่าว ที่ถูกขับถ่ายมาพร้อมมูลของค้างคาว
       
       การทำความเข้าใจจ่อกำเนิดของโรคติดเชื้ออย่างโรคซาร์สนี้จะช่วยให้
นักวิทยาศาสตร์เข้าไปรับมือกับไวรัสก่อโรคในอนาคตก่อนที่มันจะอุบัติขึ้น 
ผ่านความรู้ที่ว่าที่ใดคือแหล่งเพาะเชื้อ และไวรัสในตระกูลใกล้ชิดใดบ้างที่
มนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องมากที่สุด แล้วจัดการป้องกันการติดเชื้อตั้งแต่เนิ่นๆ
       
       ดร.แดสแซกกล่วว่าการค้นหาไวรัสก่อโรคในสัตว์เลี้ยงด้วยนมทั้งหมด
ต้องใช้เงินราว 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่สำคัญที่เรา
จะต้องทำ เพราะเราสามารถผลิตวัคซีน และเตรียมพร้อมชุดทดสอบเพื่อ
ค้นหาระยะแรกของการอุบัติขึ้นของเชื้อก่อโรค แล้วหาทางหยุดไวรัสเหล่านั้น

ภาพและข้อมูลจาก http://board.postjung.com/