วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คอเลสเตอรอล ล้วงลับระดับโลก



โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุลได้เขียนไว้ว่า

"ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องคนเราถูกหลอกให้ลดคอเลสเตอรอลโดยไม่จำเป็นมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน
เที่ยวนี้ขอกลับมาเล่าใหม่ ดังนี้ครับ :



คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมจู่ๆ "ภาวะ" คอเลสเตอรอลสูงซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเลยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
กลับกลายเป็น "โรค" ซึ่งสร้างความกลัว ความวิตกกังวลให้กับคนนับสิบล้านทั่วโลก?

ความ กลัวคือความทุกข์ประการหนึ่ง เป็นสิ่งที่บั่นทอนความสุขของผู้คน แต่ความกลัวก็เป็นสิ่ง
ที่บันดาลความสุขให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ คนขายยายังไงเล่า

การสร้างความกลัวดังกล่าวให้รายได้กับบริษัทยาทั่วโลกมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

คอ เลสเตอรอลเป็นสารองค์ประกอบที่จำเป็นตัวหนึ่งในร่างกายของเรา เราใช้มันสร้างเยื่อหุ้มเซลล์
สร้างฮอร์โมนเพศ สร้างฮอร์โมนคอร์ติโซลเพื่อช่วยระบบร่างกายแบกรับความเครียด

ต่อ มามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงว่า ระดับคอเลสเตอรอลสูงในเลือดมีความสัมพันธ์ต่อโรค
หัวใจหลอดเลือด แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า คอเลสเตอรอลที่ระดับเท่าไหร่จึงจะเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้

และมีประชากรจำนวนกี่คนที่จะเสี่ยงต่อเรื่องนี้จริงๆ
นายเฮนรี แกดสเดน ซึ่งเป็นประธานบริษัทเมิร์ก ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจยาซึ่งกำลังจะเกษียณอายุ
ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูนว่า"บริษัทยา ถูกจำกัดศักยภาพไว้ให้อยู่เฉพาะกับผู้เจ็บป่วย
เท่านั้น แท้จริงแล้วบริษัทเมิร์กควรทำแบบบริษัทขายหมากฝรั่ง คือผลิตยาขายให้กับ
คนสุขภาพดี ให้บริษัทสามารถขายยาให้แก่ทุกๆ คน"


แปล ฝรั่งพูดไทยให้คนไทยฟังก็คือ นายแกดสเดนคิดว่า ถ้าเขามัวแต่ขายยาลดคอเลสเตอรอล
ให้กับผู้ป่วยจริงๆ คือพวกโรคหัวใจ เขาก็จะรวยช้า จำเป็นอยู่เองที่เขาจะต้องทำให้คนปกติที่ไม่ป่วย
แต่เข้าใจว่าตัวเองป่วย และหันมากินยาลดไขมันของเขา เขาจะได้รวยเร็วขึ้น

คิดได้ดังนั้นแล้ว นายเฮนรี แกดสเดน ก็จัดการทำ "ใต้ โต๊ะ" กับคณะผู้เชี่ยวชาญชุดหนึ่งในสหรัฐ
ซึ่งมีหน้าที่กำหนดค่ามาตรฐานของคอเลสเต อรอลในเลือด ให้ปรับค่าปกติของคอเลสเตอรอลจาก
เดิมที่ 250 ม.ก./ด.ล. มาเป็น 200 ม.ก./ด.ล. งานนี้ประชุมกันในปลายปี ค.ศ.2001

ผล ก็คือ หลังการประชุมในคืนนั้นคนทั่วโลกนอนหลับไป ครั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่ามีประชากร
หลายสิบล้านคนทั่วโลก ซึ่งเมื่อวานนี้ยังเป็นคนปกติอยู่ แต่นอนหลับไปคืนเดียว ตื่นขึ้นมาก็พบว่า
ตนกลายเป็นผู้ป่วยไปเสียแล้ว

ด้วยเหตุนี้ยาสแตตินซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกัน 13 ล้านคน ในปี ค.ศ.1990 จึงเพิ่มกลุ่มประชากร
ที่ต้องบริโภคยาเป็น 36 ล้านคน ภายในชั่วข้ามคืนเดียวตามกำหนดของหลักเกณฑ์ใหม่โดย
คณะผู้เชี่ยวชาญ (ด้านการใช้ยา) ในปีดังกล่าว

ซึ่งต่อมามีความจริงที่พบว่า คณะผู้เชี่ยวชาญคณะนี้มี 14 คน มี 5 คน ที่มีความสัมพันธ์ด้านการเงิน
กับผู้ผลิตสแตติน 8 ใน 9 ของคนคณะนี้รับจ้างบรรยาย เป็นที่ปรึกษา หรือทำวิจัยให้บริษัทยา
ยักษ์ใหญ่ มีผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งรับเงินจากบริษัทถึง 10 บริษัทด้วยกัน

ความเชื่อมโยงเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ จนมีองค์กรสื่อในอเมริกานำมาเปิดโปง และเกิดวิวาทะครั้งใหญ่

ใครที่สนใจเรื่องนี้ไปหาอ่านได้ในหนังสือ "อุบายขายโรค" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นบรรณาธิการ

คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่ตกอยู่ในฐานะ นักบริโภคยาลดไขมัน

คงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้หมอเคยชี้ว่าคุณเป็นโรคคอเลสเตอรอลสูงเมื่อระดับเกิน 250 ม.ก./ด.ล.
แต่ต่อมาไม่นานกลับไปหาหมอคนเดิม ทีนี้ท่านบอกคุณว่า "มีงานวิจัยใหม่แล้วว่าคอเลสเตอรอล
ที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 200 ม.ก./ด.ล. เพราะคนที่ระดับคอเลสเตอรอลระหว่าง 200-250
ม.ก./ด.ล. ก็มีสิทธิตายด้วยหัวใจหลอดเลือดอีกตั้งเยอะ เห็นท่าจะจำเป็นจ่ายยาลดคอเลส-
เตอรอลให้คุณละนะ ไหนๆ คุณก็เบิกค่ารักษาพยาบาลได้อยู่แล้ว"
 ดังนั้น คุณก็ยอมรับอย่างน่าชื่น

แต่ คุณรู้ไหมว่า ยาลดไขมันเหล่านี้เข้าไปทำหน้าที่อย่างไรในร่างกาย ทำไมจู่ๆ คนมีนิสัยแย่ๆ
ในการกินอาหารจนคอเลสเตอรอลสูง ครั้นหันมากินยาลดไขมันแต่ยังคงดำเนินชีวิตแย่ๆ ต่อไป
แล้วคอเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลงได้

ตามหลักฟิสิกส์แล้ว สสารย่อมไม่สูญสลายไปไหน แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่า ไขมันที่คุณกินเข้าไป
อย่างตามใจปาก มันหายไปไหนหมด

คำตอบก็คือ ยาลดไขมันไปทำหน้าที่เพิ่มปุ่มรับ (receptor) บนเซลล์ตับ ให้ตับเก็บรับคอเลส-
เตอรอลจากกระแสเลือด แล้วไปซุกอยู่ในเซลล์ตับนั่นเอง

ผล ก็คือการหลอกลวงว่า ในเลือดของเราหลังกินยาแล้วหลอดเลือดสะอาด แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการ
กลบเกลื่อนหลักฐานของนิสัยบริโภคนิยมที่เหลวไหล เหมือนการกวาดเอาขยะไปซุกอยู่ใต้พรมนั่นเอง

พูดง่ายๆ ว่าไขมันเหล่านั้นย้ายที่อยู่ไปซุกอยู่ในตับ

จึงพบความจริงว่าใครก็ตามกินยาลดไขมันไป 3-5 ปี ขอท้าพิสูจน์ให้ไปตรวจอัลตราซาวด์ตับได้เลย
จะพบผู้คนจำนวนมากที่กลายเป็นโรคไขมันพอกตับไปแล้ว

แถมปัจจุบันนี้คนที่กินยาจนคอเลสเตอรอลต่ำมากแล้ว หมอยังไม่ยอมเลิกจ่ายยา แต่บอกผู้ป่วยว่า
 "คุณต้องกินยาตลอดชีวิต"

เรื่อง ของคอเลสเตอรอลจึงมีเรื่องราวซ่อนเงื่อนทางธุรกิจอยู่มากมาย และผู้บริโภคก็ตกเป็นเหยื่อ
ของการแพทย์พาณิชย์ นี่คือประเด็นที่หนึ่งที่จะชี้ให้เห็นในวันนี้ "
ข้อมูลจาก http://www.kaanpayakorn.net/

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิจัยพบ 15 ล้านคนทั่วโลก ผ่านการศัลยกรรม


          เมื่อต้นปี 2012  เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ รายงานว่า สมาคมศัลยกรรมเสริม
ความงามนานาชาติ หรือ ISAPS ได้เผยผลสำรวจแนวโน้มการศัลยกรรมเสริมความงาม
เมื่อ ปี 2011 ที่เพิ่งมีการเผยแพร่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า มีประชาชน
ทั่วโลกเกือบ 15 ล้านคน ที่ทำศัลยกรรมปรับแต่งรูปร่างหน้าตา ด้านไทยติดอันดับ 22 
ของโลก ประเทศที่มีการศัลยกรรมสูงสุด, เป็นอันดับ 5 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 1 
ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
       
         สำหรับประเทศที่ประชากรศัลยกรรมมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น ประเทศเกาหลีใต้
เนื่องจากการสมัครเข้าทำงานในเกาหลีใต้จะดูที่รูปลักษณ์หน้าตาเป็นสำคัญ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า 
เหตุใดธุรกิจศัลยกรรมในเกาหลีใต้จึงเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก โดยจากการสำรวจเมื่อปี 2012 
พบว่าร้อยละ 20 ของผู้หญิงอายุระหว่าง 19-49 ปี ของกรุงโซล ยอมรับว่าเคยผ่านมีดหมอ
มาแล้ว และใน 77 คน จะมี 1 คนที่เคยผ่านศัลยกรรมเสริมความงามมา ขณะที่ประเภท
ศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือการทำตาสองชั้น เพื่อจะได้เหมือนชาวตะวันตกมากขึ้น   

         รายงานยังระบุด้วยว่า ศิลปินไซ เจ้าของเพลงฮิตระดับโลก "กังนัม สไตล์" ยอมรับว่า
เจ้าของค่ายเพลงเคยร้องขอให้เขาทำศัลยกรรมเสริมความงาม ขณะที่แม้แต่ คิม ยูมิ 
นางงามเกาหลีใต้ ก็สารภาพว่า ได้พึ่งพามีดหมอ จนสามารถคว้ามงกุฎมาครอบครอง
ได้สำเร็จ

สำหรับ 25 อันดับประเทศที่มีการศัลยกรรมสูงสุดเรียงลำดับ มีดังนี้

         1. เกาหลีใต้

         2. กรีซ

         3. อิตาลี

         4. สหรัฐอเมริกา

         5. โคลัมเบีย

         6. ไต้หวัน

         7. ญี่ปุ่น

         8. บราซิล

         9. ฝรั่งเศส

         10. เม็กซิโก

         11. แคนาดา

         12. เนเธอร์แลนด์

         13. สเปน

         14. เยอรมนี

         15. เวเนซูเอลา

         16. ออสเตรเลีย

         17. โรมาเนีย

         18. ซาอุดีอาระเบีย

         19. ตุรกี

         20. สหราชอาณาจักร

         21. อาร์เจนตินา

         22. ไทย

         23. รัสเซีย

         24. จีน

         25. อินเดีย


ภาพและข้อมูลจาก http://women.kapook.com

หนุ่มออสซี่ดื่มน้ำอัดลมปทุกวัน ต้องใส่ฟันปลอมทั้งปาก


เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2556 เว็บไซต์นิวส์ดอทคอมดอทเอยู รายงานว่า นายวิลเลี่ยม 
เคนเนเวลล์ อายุ 25 ปี จากประเทศออสเตรเลีย คงเป็นตัวอย่างชั้นยอดที่บอกเราว่า 
น้ำอัดลมธรรมดา ๆ สามารถทำอันตรายต่อสุขภาพและฟันของเราได้ เมื่อนายเคนเนเวลล์
 เริ่มเสพติดการดื่มน้ำอัดลม โดยเขาดื่มน้ำอัดลมเข้าไปทุกวัน วันละ 6-8 ลิตร
 เป็นระยะเวลา 3 ปี จนตอนนี้ฟันเขาผุหมดทั้งปาก และทำให้เขาต้องใส่
ฟันปลอมเข้าไปแทน

             ทั้งนี้ นายเคนเนเวลล์ ได้เมินเฉยต่อคำเตือนของทันตแพทย์ ที่บอกถึง
ปัญหาอันอาจเกิดจากนิสัยติดน้ำอัดลม ว่า น้ำอัดลม จะทำลายฟันของเขาไปเรื่อยๆ 
จนต้องถอนฟันออกหมด และต้องใส่ฟันปลอมเข้าไปแทน

             ด้านนายเคนเนเวลล์ กล่าวว่า มีคนบอกเขาว่า คนทั่วไปจะมีฟันทั้งหมด
ประมาณ 32 ซี่ แต่ตอนนี้เขาเหลือฟันทั้งหมดแค่ 13 ซี่ และจำเป็นต้องถอนออก
ให้หมด ทั้งนี้ นิสัยติดน้ำอัดลมของเขาเริ่มมาจากการที่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า และ
เนื่องจากเขาทำงานในธุรกิจโรงแรม ทำให้เขาเข้าถึงน้ำอัดลมได้ง่าย หลังจากนั้น 
ฟันของเขาเริ่มผุอย่างหนัก จนทำให้เขาเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ และทำให้เขาล้มป่วยลง 

             ด้านนายแพทย์เจสัน อาร์มฟิลด์ จากสถาบันวิจัยสุขภาพในช่องปาก
ของออสเตรเลีย ได้มีการเรียกร้องให้ติดคำเตือน ที่รวมถึงความเสี่ยงต่ออาการฟันผุ 
เอาไว้ตรงฉลากข้างขวดน้ำอัดลม โดยนายแพทย์อาร์มฟิลด์ กล่าวว่า จากการศึกษา
ในเด็กออสเตรเลียกว่า 16,800 คน พบว่า เด็กอายุระหว่าง 5-16 ปี กว่า 56 เปอร์เซ็นต์ 
จะดื่มน้ำหวานทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้ ซึ่งนายเคนเนเวลล์เอง ก็เห็นด้วย
กับการติดฉลากเตือนเอาไว้ แต่กลับมีคำถามว่า การติดฉลากแบบนี้ จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน


ภาพและข้อมูลจาก http://health.kapook.com

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รู้เท่าทันโรคสมองเสื่อม

   คงจะดีไม่น้อย หากสามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ผล แต่น่าเสียดายทำได้เพียงชะลออาการเท่านั้น 

        ภาวะสมองเสื่อมอาจค่อยเป็นค่อยไปหรือเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ เช่น ถ้าเป็นโรคอัลไซเมอร์ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจใช้เวลานาน 5-6 ปี แต่ถ้าเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ แตกหรือตัน จะใช้เวลาเป็นเดือน หรือบางรายเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในสมอง ใช้เวลาสั้นเพียง 1-2 สัปดาห์ก็มี 



 นอกจากนี้ โรคทางจิตเวชหลายโรคอาจมีอาการคล้ายโรคสมองเสื่อมได้ เช่น โรคซึมเศร้า และโรคจิต 
นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาแยกโรคสมองเสื่อมออกจากผู้ป่วยที่มีอาการเพ้อ สับสนจากสาเหตุทางกาย 
ซึ่งมักจะรู้สึกตัวไม่ค่อยดี หรือมีการเปลี่ยนแปลงของระดับการรู้สึกตัวในระหว่างวันได้ เช่น อาการสับสน
ที่เกิดขึ้นภายหลังการชัก ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย เป็นต้น

       ในการรักษาผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม จะมีทั้งจิตแพทย์ อายุรแพทย์สาขาประสาทวิทยาและสาขาปัจฉิมวัย
ร่วมกัน แต่จะรักษากับใครก่อน ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยจะสะดวกไปพบแพทย์ และจะหายขาดหรือไม่ ต้องดูว่า
โรคสมองเสื่อมเกิดจากสาเหตุใด

       โดยทั่วไปประมาณร้อยละ 15 ของผู้ป่วยสมองเสื่อมอาจสามารถรักษาให้หายได้ ถ้าสาเหตุนั้นเกิดจาก
ภาวะเลือดคั่งที่ผิวสมอง โพรงน้ำในสมองขยายตัว ขาดวิตามิน B ต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ 
เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เกิดจากเยื่อหุ้มสมองบริเวณฐานสมอง หรือลมชักที่ไม่ได้รับการควบคุมรักษาที่ดี
และถูกต้อง ทั้งนี้ ต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง รวดเร็ว และทันท่วงทีเพื่อไม่ให้สมองถูกทำลายไปมาก 
และสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ มิเช่นนั้นแล้วอาจหลงเหลืออาการของภาวะสมองเสื่อมในผู้ป่วยกลุ่มนี้
ได้เช่นกัน

       เมื่อตัดสินใจไปรับการรักษา เบื้องต้นแพทย์จะซักถามประวัติจากผู้ป่วยและผู้ดูแลใกล้ชิด ตรวจ
ร่างกายและตรวจสภาพจิตใจ (รวมถึงตรวจการทำงานของสมอง) ตรวจเลือด เพื่อแยกว่าผู้ป่วยมีภาวะ
สมองเสื่อมจริงหรือเป็นเพียงอาการหลงลืมตามวัยเท่านั้น และหากมีภาวะหลงลืมจริง สาเหตุนั้นเกิดจาก
อะไร รวมถึงประเมิน ปัญหาในการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมร่วมกับประเมินสภาพจิตใจของผู้ดูแลผู้ป่วยด้วย 
บางรายแพทย์อาจส่งเอกซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง
เพิ่มเติมประกอบการวินิจฉัยด้วย จากนั้นแพทย์จะรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมก่อน 

        หากไม่สามารถรักษาได้ จะแก้ไขด้วยการปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยร่วมกับการให้ยา
ชะลอภาวะสมองเสื่อม และ/หรือให้ยาเพื่อควบคุมอารมณ์ พฤติกรรม หรือภาวะอื่นทางจิตเวชที่พบในผู้ป่วย
สมองเสื่อมควบคู่กันไป (ในกรณีที่การปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยไม่ได้ผล) อย่างไรก็ตามยัง
ไม่มียาตัวใดในปัจจุบันที่สามารถรักษาภาวะสมองเสื่อมให้หายขาดได้ เป็นเพียงชะลอการดำเนินโรคของ
ภาวะสมองเสื่อมเท่านั้น 
       
       อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยมีระดับการศึกษาสูง ไม่สูบบุหรี่ มีการใช้ความคิดวางแผนแก้ปัญหา
เป็นประจำ ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมบ่อย ๆ 
และตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม เช่น โรคเบาหวาน 
ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง หรือถ้าเป็นโรคดังกล่าวแล้วพบแพทย์สม่ำเสมอ 
เพื่อควบคุมอาการของโรคให้อยู่ในภาวะปกติ ก็อาจช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้

ภาพโดย ผศ.พญ.กอบหทัย สิทธิรณฤทธิ์และข้อมูลจากhttp://www.manager.co.th/