วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนัก ใน 1 ปี ลดถึง 62 กิโลกรัม กับชีวิตที่เปลี่ยนไป


             แชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนักจาก 130 เหลือ 69 กิโลกรัม ภายใน 1 ปี พร้อมทริค
    ดี ๆ ที่สาว ๆ ไม่ควรพลาด !


             สาว ๆ หุ่นใหญ่ไซส์บิ๊กทั้งหลายที่เคยท้อแท้เรื่องการลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน
    และเหนื่อยหน่ายกับการลดน้ำหนัก ที่ไม่ว่าจะลองวิธีไหนก็ไม่ได้ผลทั้งนั้น เราขอให้คุณ
    เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ค่ะ เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมได้นำประสบการณ์การลดน้ำหนัก
     จากคุณ Op One สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มาฝากสาว ๆ ซึ่งเธอผู้นี้เคยมีน้ำหนักตัว
    สูงถึง 130 กิโลกรัม แต่ความตั้งใจจริงและการลงมือลดน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอ จนน้ำหนัก
    ลดเหลือ 69 กิโลกรัม ภายใน 1 ปี และเรื่องราวการลดน้ำหนักที่ประสบความสำเร็จของ
    เธอในครั้งนี้สร้างความภาคภูมิใจให้เธอเป็นอย่างมาก เธอจึงอยากจะนำเคล็ดลับต่าง ๆ
    เกี่ยวกับการลดน้ำหนักที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นกำลังใจให้
    สาว ๆ มีแรงสู้จนลดหุ่นได้สำเร็จแบบเธอบ้างอะไรบ้าง ส่วนเคล็ดลับในการลดน้ำหนัก
    ที่ว่าจะมีวิธีการอย่างไร ตามมาดูกันเลยจ้า



     

              เราขอแชร์ประสบการณ์การลดน้ำหนักจากคนที่อ้วนมาก ๆ  กับชีวิตที่เปลี่ยนไปพร้อมกับน้ำหนักที่หายไป 62 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 1 ปี โดยวิธีกินอาหารแบบนับแคลอรี่ + ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นกำลังใจ และเป็นแนวทางในการลดน้ำหนักของคนอ้วนมาก ๆ แบบเรา หากพวกคุณทำได้ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปและมีความภูมิใจในตัวเองอย่างที่เราเป็นค่ะ เราทำได้ ทุกคนก็ทำได้ค่ะ อยากให้ทุกคนที่พยายามลดน้ำหนักสู้ ๆ ใช้เวลาไม่นาน แค่คุณมุ่งมั่น และตั้งใจ มันคุ้มมากกับเวลาที่เสียไปค่ะ

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก
    รูปนี้ตอนอ้วนสุด ๆ  131.1 กิโลกรัม

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก
    รูปนี้ตอนน้ำหนักลงมาเหลือประมาณ 100 กิโลกรัม

                ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ  ชื่อ วรรณ ค่ะ  อายุ 38 แล้วคะ  สูง 162 เซนติเมตร น้ำหนักตัวมากสุด131.1 กิโลกรัม ปัจจุบันน้ำหนัก 69.1 กิโลกรัม ใช้ระยะเวลาลด 1 ปีค่ะ ( 16 มิ.ย. 56 - 31 ก.ค. 57 )
             เริ่มเรื่องนะคะ ตอนเรียนมัธยมน้ำหนักตัวก็ปกติ เพราะเรามีกิจกรรมและกีฬาให้เล่นมากมาย ( เป็นเด็กชอบทำกิจกรรมค่ะ ) มาเริ่มอ้วนตอนเข้ามหาลัย ฯ สาเหตุมาจากการที่คาบระหว่างชั่วโมงเรียนห่างกันมากค่ะ เช่น เช้าเรียน 8.00 - 10.00 น. แล้วพัก มาเรียนอีกที่ เกือบ 3 โมงเย็น ช่วงนี้แหล่ะไปไหน หุหุ เดินห้าง ฯ ค่ะ หาของกินอร่อยๆ แถมตอนเรียนมหาลัย ฯ  ไม่เคยทำกิจกรรม หรือเล่นกีฬาใด ๆ เลยทุกชนิด จากน้ำหนัก 50 มันก็ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเรียนจบน้ำหนักมาแตะอยู่ที่ 90 +  คราวนี้พอเริ่มทำงานมีรายได้เป็นของตัวเอง ก็เต็มที่เลยค่ะ อยากกินอะไร กิน ๆ ที่ไหนอร่อยไปหมดค่ะ และมีพฤติกรรมการกินที่ไม่ดี เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด หิวหรือไม่หิวก็กิน กินแต่ของที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ชอบกิน ผัก ผลไม้ จนน้ำหนักขึ้นมาถึง 131.1 กิโลกรัม ตอนนี้แหละความหายนะเริ่มถามหา  โรคต่าง ๆ เริ่มมาค่ะ ความดันสูง ปวดหลัง ปวดขา  เหนื่อยง่าย ป่วยบ่อย ตอนนั้นใส่เสื้อผ้าไซส์ 4XL  กางเกงเอว 53 นิ้ว แย่แล้ว เริ่มหาเสื้อผ้าใส่ไม่ได้
     
             ทำไมเราถึงลดน้ำหนักได้ หลายคนสงสัย มีวันนึงได้มีโอกาสได้คุยกับน้องข้างบ้าน ( น้องมิว ) ระหว่างขับรถไปทำงานน้องเค้าไปด้วย  ( ต้องขอขอบคุณ น้องมิว มาก ๆ )

    น้องมิว :  พี่วรรณครับ เคยคิดจะลดความอ้วนไหมครับ 
    เรา : ก็คิดอยู่ พยายามมาหลายครั้งแล้ว ทำไม่สำเร็จอ่ะ
    น้องมิว : พี่ลองทำแบบแฟนผมสิ ควบคุมแคลลอรี่อาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละวัน
    เรา : แล้วเราจะรู้ได้ไง อาหารอะไรกี่ แคลลอรี่ แล้วต้องกินยังไง บลา ๆ
    น้องมิว :  โหลด แอพ ฯ สิครับพี่ แหม...โทรศัพท์สมัยนี้มีทุกอย่าง 
    เรา  :  ok เดี๊ยวจะลองดูนะ (  ตอบไปส่งๆ )
     
              และแล้วเหตุการณ์ที่ทำให้เราลดได้ก็มาถึง  คืนนั้นเองระหว่างที่นอนเรารู้สึกแน่นหน้าอก  หายใจไม่ออก เหมือนกำลังจะตาย บอกไม่ถูก เราตั้งใจไว้เลยว่า หากเรารอดจากคืนนี้ไปได้จะลองลดน้ำหนักอีกสักครั้งหนึ่ง พอเช้ามาเราก็เริ่มหาข้อมูลต่าง ๆ จาก Google  วิธีการคำนวน แคลลอรี่ วิธีลดน้ำหนัก วิธีการออกกำลังกายสำหรับคนอ้วน เราเริ่มจากควบคุมอาหารก่อน ชวนน้องที่ทำงานมาตีแบตเป็นเพื่อนหลังเลิกงาน แรก ๆ ก็ตีได้ 15 - 20 นาที แรก ๆ วิ่งเก็บลูกซะหน้ามืดเลยค่ะ ( ตีไปพักไป จะเป็นลมไป ) ก็เพิ่มไปเป็น ครึ่ง ชั่วโมง จนเป็น 1 ชั่วโมง ตีแบต ได้สัก 2 อาทิตย์ ว่าแต่ใครจะมาตีแบตกับเราได้ทุกวันหล่ะ ก็เลยมองหากีฬาที่สามารถเล่นคนเดียวได้ แรก ๆ ลองวิ่ง โห..แค่ 5 นาที เจ็บหัวเข่า เจ็บข้อเท้ามาก วิ่งไม่ได้เลย  เพราะเราน้ำหนักตัวยังเยอะอยู่มาก ( น้ำหนักลงมานิดหน่อย 129 กิโลกรัม )  สุดท้ายมาจบลงที่จักรยานค่ะ เราขี่หลังเลิกงานทุกวัน ๆ ละ 45 - 60 นาที ( 6.00 - 7.00 pm ) พอครบ 1 เดือน เราลองชั่งน้ำหนักดู แม่เจ้า ลดลงไป 10 กิโลกรัม  คราวนี้แหล่ะ กำลังใจมาเพียบเราก็ทำแบบเดิมไปเรื่อย ๆ น้ำหนักก็ลดไปเรื่อย ๆ จนมีคนทักมากขึ้น ๆ ไปทำอะไรมา ป่วยเหรอ...กินยาลดน้ำหนักหรือป่าว ทำไมลดเร็วจัง ถึงขนาดมีคนจำไม่ได้ เราภูมิใจมาก

             ปัจจุบันวิถีการดำรงชีวิตเปลี่ยนไปมากค่ะ เลือกกินมากขึ้น มองอาหารแล้วคิดค่ะ ว่าอันนี้เรากินเข้าไปได้อะไรจากมันบ้าง ต้องออกกำลังกายกี่ชั่วโมงถึงจะเผาผลาญหมด ติดนิสัยการออกกำลังกาย ต้องออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน ถ้าไม่ได้ออกจะอึดอัดมาก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    เป้าหมายในการลดน้ำหนัก คือ  

     1. เพื่อสุขภาพที่ดี ( กลัวป่วยตอนแก่ ) เริ่มมีปัญหาเรื่องปวดขา ปวดหลัง ป่วยบ่อย และความดันสูง

     2. ลบคำสบประมาณ " ชาตินี้ทั้งชาติก็ลดไม่ได้หรอก " พิสูจน์ให้เค้าดูว่าเราก็ทำได้นะ

     3. สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ( เมื่อก่อนไม่ค่อยกล้าไปไหน เพราะอายที่ตัวอ้วน ไม่กล้าไปเจอเพื่อน เจอผู้คน ) ปัจจุบันความมั่นใจมาเต็ม 100%

     4. หาเสื้อผ้าใส่ไม่ได้แล้วค่ะ ตอนอ้วนสุด ๆ ใส่เสื้อไซด์ 4XL กางเกงเอว 53-54 นิ้ว ( ปัจจุบัน เสื้อไซด์ L เอว 34 นิ้ว )  ไม่มีเสื้อผ้าให้เลือกต้องสั่งอย่างเดียว ราคาเท่าไหร่ก็ต้องซื้อ ( แพงมากสำหรับเสื้อผ้าคนตัวใหญ่ ราคาไม่ต่ำกว่า 500 บาท/ตัว )

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    วิธีการลดน้ำหนักของเรา คือ

     1. เลือกกิน และควบคุมอาหารโดยการนับแคลอรีในแต่ละวันที่เรากินเข้าไปค่ะ งด หวาน มัน ทอด แป้ง เน้นผัก และปลา ตัวอย่าง เช่น เช้ากับเที่ยง เราจะกินจำพวกปลานึ่ง สลัดผัก ต้มจืด ผักต้มกับน้ำพริก เกาเหลาไม่เอาลูกชิ้น ส้มตำ ลาบเห็ด กินสลับ ๆ กันไป ส่วนมือเย็นเราจะเป็นผลไม้ โยเกิร์ต หรือสลัดผัก

     2. ใช้เวลาหลังเลิกงานออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอวันละ 1 ชั่วโมง ช่วงเวลา 6 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม ( ขี่จักรยาน และวิ่ง สลับกันแล้วแต่สะดวก ) และยกเวท วันละครึ่งชั่วโมง ถึง 1 ชั่งโมง เพื่อกระชับกล้ามเนื้อ ( ออกกำลังกาย 3-4 วัน/สัปดาห์ ) เราอ้วนมากมีปัญหาเรื่องผิวหนังย้วยค่ะ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว  
     
              คาดหวังว่าปีหน้าคงได้มีโอกาสได้เห็น กล้ามท้องสักแพ็ค สองแพ็คค่ะ หุหุ จุดมุ่งหมาย ลดให้เหลือ 60 กิโลกรัม ภายในสิ้นปีนี้สู้ ๆ ไปด้วยกันนะคะ ทุก ๆ คน

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก
    รูปตอนน้ำหนัก 77 – 80 กิโลกรัม
     

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก
    รูปตอนน้ำหนัก 72 - 75 กิโลกรัม


    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก
    นี่คือรูปปัจจุบันของเรา ( 69.1 กิโลกรัม )

             เห็นแบบนี้แล้ว เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนคงฮึดกันขึ้นมาบ้างนะคะ เพียงแค่คุณมุ่งมั่น ตั้งใจและลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ เท่านี้หุ่นที่สวยเพรียวก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วจ้า ^^
      ภาพและข้อมูลจาก http://health.kapook.com/

อาหารที่ลดอาการปวดหัวของสาวๆ

    อาหารที่ลดอาการปวดหัวของสาวๆ
    ภาพและข้อมูลจาก http://health.kapook.com/
              ข้อดีของอาหารธรรมชาติ สำหรับคนไม่ต้องการทานยา หรือมีอาการเล็กน้อย อย่างการปวดหัว ซึ่งหลายคนมักจะเกิดอาการขึ้นเป็นประจำ เรามาดูกันสิว่า อาหารอะไรบ้างที่ทำให้อิ่มท้อง แถมยังเป็นยาช่วยรักษาร่างกายได้ด้วย


    ปลาทะเล

     ปลาทะเล 

              เช่น ปลาทู ปลาแซลมอน ปลากะพง เนื่องจากปลาทะเลมีโปรตีนสูงซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ เมื่อระดับน้ำตาลคงที่อาการปวดหัวก็จะลดลง รวมทั้งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายเป็นตัวช่วยลดการอักเสบลดอาการปวด


    กล้วย

     กล้วย

              ผลไม้หาง่ายมีหลากหลายสายพันธุ์ มีอยู่ทุกฤดู ราคาไม่แพงมาก กล้วยเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี และที่สำคัญมีแร่ธาตุโพแทสเซียม ที่ช่วยปรับสมดุลแร่ธาตุในร่างกาย จากการศึกษาพบว่ากล้วยช่วยลดความเครียดและทำให้เกิดความสุข


    ขิง

     ขิง 

              สมุนไพรในแบบไทย ๆ สามารถนำมาปรุงอาหารได้ทั้งคาวและหวาน หรือเครื่องดื่ม ขิงจะช่วยให้ผ่อนคลาย เลือดลมไหลเวียนได้ดี


    ผักใบเขียว

     ผักสีเขียวเข้ม 

              เช่น ผักโขม ผักคะน้า ตำลึง นอกจากจะมีใยอาหารสูงที่ช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกมาได้ดีแล้ว ยังมีสารคลอโรฟิลล์ที่เปรียบเสมือนตัวล้างพิษทำให้ร่างกายสามารถรับออกซิเจนได้มากขึ้น อาการปวดก็จะลดลง


    ธัญพืช

     ธัญพืชธรรมชาติไม่ขัดสี

              เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย ถั่วแดง งา อาหารในกลุ่มนี้จะมีวิตามินในกลุ่มวิตามินบีสูง ซึ่งเป็นตัวช่วยในสารสื่อประสาทของร่างกายให้ทำงานได้ดีช่วยหยุดอาการปวดหัว


    ข้าวโพด

     ข้าวโพด

              เนื่องจากข้าวโพด มีวิตามินบี 3 หรือไนอะซินสูง มีส่วนช่วยให้การไหลเวียนเลือดไปสู่สมองได้ดีขึ้น และลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กรมวิทย์ฯเผย สารสกัด "ใบทุเรียนเทศแห้ง" มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ

กระหึ่มโลกออนไลน์ ใช้ใบทุเรียนเทศทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีกว่าเคมีบำบัด ด้านกรมวิทย์ชี้งานวิจัยต่างประเทศช่วยต้านเซลล์มะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระได้จริง มีสิทธิต่อยอดเป็นยา แต่มีสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ประสาทและมีผลต่อไต ระบุยังต้องศึกษาอีกมากโดยเฉพาะเรื่องความเป็นพิษ เพื่อนำมาใช้อย่างปลอดภัย




นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงกรณีสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่สรรพคุณใบทุเรียนเทศสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีกว่ายาเคมีบำบัด จนมีประชาชนสอบถามทางสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทย์ เป็นจำนวนมาก เพราะมีผลิตภัณฑ์จากใบทุเรียนเทศวางจำหน่าย ทั้งแคปซูล ชาชง และแนะนำให้ใช้ร่วมกับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ว่า ทุเรียนเทศเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้นสูงประมาณ 5-6 เมตร อยู่ในวงศ์เดียวกับน้อยหน่า ถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกาเขตร้อน ต่อมามีการนำมาปลูกแพร่หลายในประเทศเขตร้อน ในต่างประเทศมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป สเปนเรียก graviola ภาคใต้ของไทยเรียก ทุเรียนน้ำ ภาคกลางเรียก ทุเรียนแขก ทุเรียนเทศมีผลสีเขียวรูปกลมรี มีหนามนิ่มที่เปลือก รสเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย คนไทยนำทุเรียนเทศมาประกอบอาหาร ภาคใต้นิยมนำผลอ่อนใช้ทำแกงส้ม เชื่อม และคั้นทำเครื่องดื่ม ส่วนเมล็ดใช้เบื่อปลาและเป็นยาฆ่าแมลงได้ ส่วนใบมีสรรพคุณทางยาใช้รักษาโรคผิวหนัง แก้ไอ ปวดตามข้อและความดันโลหิตสูง

       


       นพ.อภิชัย กล่าวว่า จากรายงานการวิจัยของต่างประเทศพบว่า สารสกัดจากใบทุเรียนเทศมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งเต้านม ปอด ตับ ตับอ่อนและผิวหนังในหลอดทดลอง จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดมีฤทธิ์ระงับปวด ต้านการอักเสบ ลดน้ำตาลและไขมันในเลือดของหนูที่เป็นเบาหวานได้ และมีรายงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า สารสกัดด้วยเอทานอลของใบทุเรียนเทศมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของก้อนเนื้องอกผิวหนัง นอกจากนี้ สารสกัดยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของมะเร็งตับอ่อนและยังสามารถลดการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่นได้ด้วย ซึ่งจากการแยกสารสำคัญที่มีอยู่ในทุเรียนเทศที่มีผลต่อเซลล์มะเร็งพบว่า คือ สารกลุ่ม annonaceousacetogenins
       
       “แม้ทุเรียนเทศสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นยารักษามะเร็งหรืออาจใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในอนาคต แต่มีข้อมูลการวิจัยพบว่า มีสารแอนโนนาซินเป็นพิษต่อเซลล์ประสาท นอกจากนี้ ในรายงานการวิจัยของประเทศกานา ยังพบว่า หนูทดลองที่ได้รับสารสกัดใบทุเรียนเทศในปริมาณสูงมีผลต่อการทำงานของไต ดังนั้น การนำทุเรียนเทศมาใช้บำบัดโรคมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ยังต้องผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยอีกมาก เช่น กลไกออกฤทธิ์ต่อเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง การส่งสัญญาณภายในเซลล์ การแยกสารสำคัญออกฤทธิ์ชนิดต่างๆ การควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน รวมถึงด้านพิษวิทยาและความปลอดภัย” อธิบดีกรมวิทย์ กล่าวและว่า สถาบันวิจัยสมุนไพร กำลังรวบรวมวัตถุดิบใบทุเรียนเทศในไทยมาศึกษาความเป็นพิษเบื้องต้นในห้องปฏิบัติการ เพื่อเป็นข้อมูลคุ้มครองผู้บริโภค และวางแผนศึกษาวิจัยเพื่อหาทางนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป

ภาพจากอินเทอร์เนตและข้อมูลจากhttp://www.manager.co.th/

อ่านข้อมูลเกี่ยวกับทุเรียนเทศ