วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

10 สุดยอดสิ่งขยะแขยงที่พบในอาหาร

10 สิ่งที่คุณอาจเคยเจอในอาหารของคุณ เรารวมอันดับความน่าขยะแขยง
ของสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาอยู่ในอาหารต่างๆที่คุณคิดว่ามันไม่น่าจะมาอยู่ได้
ลองมาดูกันว่า 10 สิ่งจะมีอะไรกันบ้าง



อันดับ 1 หัวไก่ในชุด happy meal 

เมื่อคุณแม่และคุณลูกชาวอเมริกันได้หัวไก่แถมมาด้วยในชุด happy meal สุดท้ายได้เงินชดเชยไป 100000 ดอลล่า !!

อันดับ 2 มีดยาว 7 นิ้วในขนมปัง 
ชายหนุ่มคนนึงได้ซื้อขนมปังจากร้าน subway ถึงกับช็อคเมื่อเกือบจะได้กินขนมปังใส้มีด

อันดับ 3 กบในกระป๋องเปปซี่ 
เมื่อนาย Fred Denegri กำลังทำบาบีคิวกินกันที่สวนหลังบ้าน หลังจากเปิดกระป๋องแล้วซดทันใดนั้นลิ้นได้สัมผัสถึงอะไรหยุ่นๆในกระป๋อง หลังจากเอาไปส่งตรวจที่ห้องแลปถึงได้รู้ว่ามันเป็นกบ !!!

อันดับ 4 นิ้วในคัสตาร์ดแช่แข็ง 
ชายหนุ่มคนนึงถึงกับกรี๊ดเมื่อได้เจอนิ้วมนุษย์ในคัสตาร์ทที่ซื้อมา

อันดับ 5 ขนมปังหนูอบ 
เมื่อนาย Stephen Forse ได้ซื้อขนมปังจากร้านแห่งนึงในเมือง Bicester ในเดือนมกราคม ปี 2009 ได้ถึงกับช็อคเมื่อเจอหนูทั้งตัวอบมาพร้อมกับขนมปัง ในขณะที่กำลังจะทำแซนวิชให้เด็กๆ

อันดับ 6 แมลงสาบในขนม golden boy 
เมื่อชายคนนึงได้กินขนมไป 1/3 ห่อแล้วได้มาเจอแมลงสาบเคลือบเม็ดงาแถมมาด้วย

อันดับ 7 อุจาระในไอศกรีม !!! 
เมื่อเชฟโดนครอบครัวนึงต่อว่าในเรื่องๆนึงก็เลยเสริฟไอศกรีมอุจาระมาให้ซะเลย


อันดับ 8 กบในผักแช่แข็ง 
สามีกับภรรยาคู่นึงถึงกับช็อคเมื่อได้เจอกบในถุงผักแช่แข็งที่ซื้อมาจากร้านค้าในพื้นที่

อันดับ 9 ใยถุงมือติดมาพร้อมก้อนขนมปัง 
หญิงคนนึงในไอร์แลนด์เหนือได้เจอเศษถุงมือติดมาพร้อมกับขนมปังที่เธอซื้อมา

อันดับ 10 ซากหนูในขวดแกง... !!! 
เมื่อ Cate Barrett ได้ซื้อ masala ซอส มาขวดนึงและข้างในขวดแถมซากหนูมาด้วยจากร้านค้าในท้องถิ่น


ภาพและข้อมูลจาก http://gotcha.co.th 

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

โรควุ้นในตาเสื่อม

โรควุ้นในตาเสื่อม (Momypedia) เป็นแล้วไม่รักษาตาบอดได้เชียวนะ

       
          หากคุณรู้สึกว่าเห็นยุงบินรอบ ๆ ตัว แต่ตบเท่าไหร่ก็ไม่โดน หรือมองเห็นสิ่งแปลกปลอม 
เช่น หยากไย่ จุด เส้น ลอยไปลอยมาในตา นั่นอาจจะเป็นอาการของ "โรควุ้นในตาเสื่อม" 
ที่เกิดในลูกตาของคุณก็ได้!!

          นพ.พัฒน ธัญญกิตติกุล ประจำภาควิชาจักษุวิทยา วิทยาลัยแพทยศาสตร์
กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล มาเล่าเรื่องของโรคนี้ให้เราฟังกันอย่างง่าย ๆ

 อาการ โรควุ้นในตาเสื่อม

          เวลาลืมตาจะมองเห็นอะไรกวนตาเป็นรูปหยากไย่ ตาข่าย จุด เส้น วง ลอยไป
ลอยมา หรือบางคนบอกว่าเห็นเหมือนยุง แต่ปัดเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่มียุงนี่นา และจะอันตราย
สุด ๆ ถ้าในเวลาค่ำหรือในที่มืด คุณเห็นแสงคล้ายฟ้าแล่บแปล๊บ ๆ เพราะอะไรก็ต้อง
ติดตามกันต่อข้างล่างนะคะ

 สาเหตุ โรควุ้นในตาเสื่อม

          คุณหมอบอกว่าในลูกตากลม ๆ ของเรานี้จะมีวุ้นใสอยู่ตรงกลาง ระหว่างเลนส์กับ
จอประสาทตา และเมื่อคุณอายุ 40 วุ้นตรงนี้ก็จะเริ่มชราภาพ จากลักษณะเป็นวุ้นก็จะกลาย
เป็นของเหลว วุ้นที่เละจนเหลวนี่เอง เมื่อเรากลอกตาวุ้นก็จะกระเพื่อม กลายเป็นสิ่งที่
เรามองเห็นเป็นจุด เป็นเส้น ที่รบกวนสายตาเรานั่นเอง

          และการกลอกตาไปมาจะมีแรงกระชาก ให้จอประสาทตาให้ฉีกขาด และตอนนี้แหละ
ที่คุณอาจจะเห็นแสงแปล๊บ ๆ เหมือนฟ้าแลบ ซึ่งถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา การฉีกขาดจะรุนแรง
ขึ้นกลายจอประสาทตอลอก ถ้าถึงขั้นนั้นก็แปลว่าคุณมองไม่เห็นอะไรแล้ว เพราะตาบอด
ไปเรียบร้อย!

 การรักษา โรควุ้นในตาเสื่อม

          ยังไม่มีการรักษาโรควุ้นในตาเสื่อมได้ เพราะมันเกิดจากความชราของอวัยวะเราเอง 
เรียกว่าเป็นไปตามอายุขัย แต่ยังพอสามารถรักษาอาการข้างเคียงของโรคนี้ได้บ้าง คือถ้า
จอประสาทตาฉีกขาดอย่างที่บอกไป หากไปพบจักษุแพทย์ เขาจะใช้เลเซอร์ซ่อมแซม
รอยขาดให้ปิดสนิท ก็ทำให้คุณยังมีดวงตาไว้ถนอมใช้ได้อีกนานค่ะ

 การป้องกัน โรควุ้นในตาเสื่อม  

      ถึงโรควุ้นในตาเสื่อมจะรักษาไม่ได้ แต่มันป้องกันได้นะคะ วิธีการก็คือ

           1.ป้องกันไม่ให้ดวงตาได้รับการกระทบกระเทือน ทั้งจากการเล่นกีฬา จากอุบัติเหตุ 
และอื่น ๆ เพราะการที่ตาถูกกระแทกแรง ๆ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้วุ้นในตาเสื่อมได้เร็วขึ้น

           2.อย่าอ่านหนังสือในที่มืด เพราะจะทำให้สายตาสั้น สายตาสั้นจะทำให้วุ้นในลูกตา
เสื่อมง่าย

           3.อย่านอนในที่สว่าง เพราะแม้ร่างกายจะหลับ แต่ลูกตาเมื่อได้รับแสงก็ยังทำงานอยู่ 
เมื่อลูกตาทำงานหนัก วุ้นก็จะเสื่อมได้ง่าย

           4.ถ้าคุณอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรจะไปพบจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะหาก
มีอาการแพทย์จะดูแลคุณในระยะแรกได้เลยค่ะ 

ภาพจากอินเทอร์เน็ต และข้อมูลโดยวิลาสิณี  จาก http://health.kapook.com

.............
โรคร้ายใกล้ตาโรควุ้นในตาเสื่อม
Posted by ซัลฟา  จาก http://www.oknation.net/

                         
          ในยุคที่ทุกคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองแต่หน้าจอแบบนี้ โรคที่เกี่ยวกับดวงตาทั้งหลาย
จึงเป็นอีกโรคที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นก็คือโรคที่กวนใจไม่ใช่น้อยอย่าง
“โรควุ้นในตาเสื่อม” ซึ่งในสมัยก่อนนั้นเป็นโรคที่จะเกิดกับผู้สูงอายุที่อวัยวะย่อมเสื่อมไปตามวัย
และผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องใช้สายตาในการเพ่งเป็นอย่างมากเช่น ช่างเจียระไน เท่านั้น

         แต่ในปัจจุบันด้วยไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างไป เราใช้ชีวิตกับหน้าจอสี่เหลี่ยมมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์ จอแท็ปเล็ต จอทีวี ซึ่งเป็นการใช้สายตาที่มากขึ้น
ทวีคูณย่อมส่งผลต่อการเสื่อมของวุ้นในตาที่มากขึ้นและเกิดขึ้นได้แม้จะอยู่ในวัยเรียนหรือ
ทำงานก็ตามโรคร้ายใกล้ตาโรควุ้นในตาเสื่อมนี้ เกิดจากการเสื่อมของ น้ำวุ้นตา (Vitreous)
ซึ่งก็คือสารใสคล้ายเจลอยู่ภายในลูกตาส่วนหลัง ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้แสงผ่าน ให้สารอาหาร
แก่จอประสาทตาและเซลล์ผนังลูกตาชั้นใน และช่วยพยุงลูกตาให้คงเป็นรุปทรงกลม

        โดยปกติแล้วโรคนี้หากเกิดกับผู้สูงอายุ จะไม่มีอันตรายใดๆ เพราะเป็นการเสื่อมของ
อวัยวะตามธรรมชาติ แต่หากเกิดกับเราๆ ท่านๆ ในวัยทำงานแล้วล่ะก็ อาจกลายเป็นโรคร้าย
ถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียวสังเกตได้ง่ายๆ โรคร้ายไกลตัวอาการโรควุ้นในตาเสื่อมจะทำให้
เราจะมองเห็นจุดหรือเส้นรูปร่างต่างๆ เช่น คล้ายหยากไย่ลอยไปมา เหมือนคราบที่ติดกระจก
เลยค่ะและจะเห็นชัดมากขึ้นเมื่อมองไปยังบริเวณที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าหรือผนังห้องขาวๆ
จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา จุดหรือเส้นเหล่านี้เกิดจากขณะที่น้ำวุ้นตาละลาย บางส่วน
จะจับตัวกันเป็นตะกอน ซึ่งถ้าเป็นมากโดยมีอาการเห็นแสงคล้ายฟ้าแล่บแปล๊บ ๆ ในเวลาค่ำ
หรือในที่มืด ถึงขั้นนี้แปลว่าอาการหนักแล้วค่ะ ซึ่งถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา อาจทำให้จอประสาทตา
ฉีกขาดและอาจทำให้ตาบอดได้เลยทีเดียวสาเหตุใหญ่ของวันทำงานปัจจุบันนี้คนเป็นโรควุ้น
ในลูกตาเสื่อมกันมากขึ้นเพราะการใช้คอมพิวเตอร์โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ไม่ว่าคุณ
จะเล่นเน็ต,เล่นเกมส์, อ่านบทความหรืออะไรก็ตามที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ล้วนทำให้สายตา
คุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นไม่เหมือนการอ่านหนังสือ เพราะ
การมองตัวหนังสือที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์มีลักษณะแขวนลอยอยู่ในจอ จึงทำให้สายตา
มีโฟกัสที่ไม่แน่นอน ส่วงผลให้กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนักเพิ่มโอกาสที่จะทำให้สายตาเสีย
ได้มากขึ้น
          รูปแบบการอ่านที่ต้องอาศัยการเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลงเพื่อจะอ่านบรรทัดต่อไปได้
ก็เป็นการเลื่อนแบบกระตุก ซึ่งจะทำให้สายตาต้องปรับโฟกัสบ่อยเกินไป แสงสว่างจากจอ
คอมพิวเตอร์ก็ส่งผลให้สายตาเสียเช่นกันรวมไปถึงการใช้จอคอมพิวเตอร์ที่มีความกว้าง
มากเกินไป ซึ่งไม่เหมาะกับอ่านหนังสือ เพราะว่าสายตาคนเรานั้นมีระยะการมองเห็นตัวอักษร
ที่ 1 ฟุต (12นิ้ว) แต่จอคอมสมัยนี้กลับมีความกว้าง 17- 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งกว้าง
เกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่อีกขอบหนึ่งทำให้ปวดทั้งคอทั้งตาได้ ซึ่งขนาด
ของจอคอมพิวเตอร์จึงไม่ควรเกิน 15 นิ้ว

โรคร้าย แต่ป้องกันได้ 
การป้องกันและรักษาโรควุ้นในตาเสื่อม
สำหรับการรักษาโรควุ้นในตาเสื่อมนั้น หากเกิดในผู้สูงอายุจะไม่สามารถรักษาให้หายได้
เพราะเกิดจากความเสื่อมของอวัยวะ แต่สำหรับวัยทำงานยังพอสามารถรักษาอาการ
ข้างเคียงของโรคนี้ได้บ้าง เช่นถ้าจอประสาทตาฉีกขาดให้รีบไปพบจักษุแพทย์ ซึ่งจะใช้
เลเซอร์ซ่อมแซมรอยขาดให้ปิดสนิท ก็ทำให้คุณยังมีดวงตาไว้ถนอมใช้ได้อีกนาน
ส่วนการป้องกันโรควุ้นในตาเสื่อมได้ง่ายๆ ดังนี้
1.ป้องกันไม่ให้ดวงตาได้รับการกระทบกระเทือนทั้งจากการเล่นกีฬา จากอุบัติเหตุ และอื่น ๆ
เพราะการที่ดวงตาถูกกระแทกแรง ๆ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้วุ้นในตาเสื่อมได้เร็วขึ้น
 2.อย่าอ่านหนังสือในที่มืด เพราะจะทำให้สายตาสั้น สายตาสั้นจะทำให้วุ้นในลูกตาเสื่อมง่าย
 3.ไม่ควรนอนในที่สว่างจ้า หรือมีแสงสว่างส่องโดยตรง เพราะในภาวะนี้แม้ร่างกายจะหลับ
 แต่ลูกตายังคงได้รับแสงและยังทำงานอยู่ เมื่อลูกตาทำงานหนัก วุ้นก็จะเสื่อมได้ง่ายมากขึ้น

เรื่องของดวงตาก็เป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้ส่วนอื่นของร่างกายเลยนะคะ
 การใช้ชีวิตที่สมดุลกันระหว่างร่างกายกับเทคโนโลยี นอกจากจะไม่เป็นการทำร้ายดวงตา
ทางตรงแล้ว การได้ทำกิจกรรมอื่นๆ บ้างนอกเหนือจากการเฝ้ามองหน้าจอก็จะช่วยให้เรา
ได้ใช้ชีวิตอย่างมีมิติมากขึ้นอีกด้วยค่ะ


วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

อุทธาหรณ์สอนใจคนใส่ ‘เลนส์’นอน ตาติดเชื้อหวิดบอด



        เดลิเมล์ - หลายคนสารภาพว่าเคยนอนหลับทั้งยังสวมถอดคอนแท็กเลนส์ แต่หลังจาก
ได้อ่านเรื่องนี้ พฤติกรรมนี้อาจหายไปหรืออย่างน้อยเพลาลง

       
       เคที ริชาร์ดสัน วัย 24 ปี พบว่าเลนส์ที่ไม่สะอาดอาจนำไปสู่อาการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการติดเชื้อ
ที่กระจก ตา และหากไม่รักษาอาจทำลายสายตาถาวร หรือในกรณีเลวร้ายที่สุดคือตาบอด


                                           เคทีไม่รู้เลยว่า การนอนทั้งที่สวมคอนแท็กเลนส์ และใช้น้ำประปา
                                                      ล้างเลนส์เป็นครั้งคราว อาจทำให้ตาบอดได้

      
       นักข่าวสายธุรกิจจากนอริช อังกฤษ ยอมรับว่าบ่อยครั้งเธอหลับไปทั้งยังใส่คอนแท็กเลนส์
ชนิดนิ่มแบบใส่-ถอดทุกวันและต้องเปลี่ยนใหม่ทุกเดือนที่เธอใส่มาตั้งแต่อายุ 14 ปี

       
       เคทียังเล่าว่า บางครั้งบางคราวเธอใช้น้ำประปาแทนที่จะเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับล้างเลนส์โดยเฉพาะ
       
       จนมาเช้าวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม เคทีตื่นมาพร้อมอาการปวดตาข้างซ้าย ซึ่งเธอคิดว่า
เป็นอาการเยื่อตาอักเสบจึงไปซื้อยามาหยอดแต่อาการกลับแย่ลง

       
       “น้ำตาไหลไม่หยุด รอบม่านตาแดงก่ำ ไม่นานฉันปวดตาเมื่อเจอแสง จนต้องนั่งในห้องมืดๆ
 เปิดทีวียังไม่ได้เลย”

       
       เช้าวันรุ่งขึ้น อาการปวดยิ่งแย่ลง ตาเคทีคันและอักเสบจนลืมไม่ขึ้น บ่ายวันนั้นเธอไปหา
หมอประจำและหมอส่งเธอเข้าโรงพยาบาลทันทีเนื่องจากคาดว่าเคทีเป็นโรคกระจกตาติดเชื้อจากเชื้อรา

       
       ปกติแล้วดวงตาจะมีของเหลวหล่อเลี้ยง ซึ่งประกอบด้วยเอนไซม์ปกป้องจากสารแปลกปลอม
นอกจากนั้นการกะพริบตายังป้องกันไม่ให้มีสิ่งใดติดอยู่บนพื้นผิวของดวงตา

       
       แต่บางครั้งเชื้อโรคที่อยู่ในอากาศหรือน้ำสามารถฝ่าฟันทะลุชั้นป้องกันของเซลล์บนกระจกตาได้
       
       แบคทีเรีย pseudomonas เป็นแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการกระจกตาอักเสบที่พบมากที่สุด
ขณะที่แบคทีเรียอันตรายที่สุดคือ acanthamoeba พบในน้ำประปาโดยเฉพาะในพื้นที่ที่น้ำกระด้าง
และเจริญเติบโตอยู่ภายในกล่องใส่เลนส์ที่สกปรก

       
       การติดเชื้อรามักเกิดกับคนที่เพิ่งกลับจากประเทศที่มีสภาพอากาศร้อน
       
       ดร.ไซมอน คิลวิงตัน นักจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ อังกฤษ อธิบายว่าสาเหตุที่คน
อังกฤษมีความเสี่ยงกระจกตาติดเชื้อที่เกิดจากโปรโตซัว acanthamoeba มากกว่าคนบนแผ่นดินใหญ่
ในยุโรป เนื่องจากอังกฤษใช้แทงค์กักเก็บน้ำแพร่หลายกว่า

       
       ดร.คิลวิงตันเสริมว่า Pseudomonas และ acanthamoeba เกิดขึ้นตามธรรมชาติในสภาพแวดล้อม
แต่เกิดมากในห้องน้ำ ดังนั้น การล้างหรือแช่เลนส์ด้วยน้ำประปาจึงอาจสร้างปัญหาได้ และจริงๆ
แล้วห้องน้ำไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมในการใส่เลนส์เลยด้วยซ้ำ

       
       ดร.คิลวิงตันยังเตือนว่าการสวมเลนส์คู่เดิมนานเกินเดือนอันตรายเช่นเดียวกัน
       
       พาร์เวซ ฮอสเซน ผู้บรรยายอาวุโสวิชาจักษุวิทยา มหาวิทยาลัยเซาธ์แทมป์ตัน ประเทศอังกฤษ
ขานรับว่าคอนแท็กเลนส์เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอาการกระจกตาติดเชื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เนื่องจาก
การทำความสะอาดและเก็บรักษาผิดวิธี

       
       นอกจากนี้ อาการกระจกตาติดเชื้อยังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อาจไม่สังเกตเห็นจนกว่าจะมี
อาการปวด ซึ่งปกติแล้วจะยิ่งปวดมากขึ้นหลังจากถอดเลนส์

       
       อาการปวดรุนแรง การสูญเสียการมองเห็น การรักษาที่ใช้เวลายาวนานซึ่งอาจรวมถึงการผ่าตัด
ตลอดทั้งผลกระทบที่มีต่องานและชีวิตทางสังคม อาจทำให้ผู้ป่วยซึมเศร้าอย่างรุนแรงได้

       
       นอกจากการแพ้แสงและปวดแล้ว อาการอื่นๆ ยังรวมถึงน้ำตาไหล มองภาพไม่ชัด และทั้งหมดนี้
จะเลวร้ายลงนอกจากได้รับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม

       
       กรณีของเคทีนั้น แพทย์สั่งให้หยอดยาหยอดตาสเตียรอยด์ทุก 5 นาทีในช่วง 3 ชั่วโมงแรก
ก่อนขยายเป็นทุกครึ่งชั่วโมงตลอดทั้งคืน และทุกชั่วโมงในวันรุ่งขึ้น และยังต้องปิดตาไว้ระหว่าง
รักษาด้วย

       
       ทั้งนี้ งานศึกษาฉบับหนึ่งจากเนเธอร์แลนด์ในปี 1999 พบว่าผู้สวมเลนส์ชนิดนิ่มมีแนวโน้มกระจก
ตาติดเชื้อมากกว่าผู้สวมคอนแท็กเลนส์ชนิดแข็งที่ก๊าซซึมผ่านได้ถึง 3 เท่า

       
       และผู้ที่สวมเลนส์นอนมีแนวโน้มมีอาการนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 20 เท่า
       
       เคทีนั้นยืนยันกับตัวเองว่าจะไม่ผิดพลาดซ้ำสอง หลังจากใช้เวลารักษาและงดใส่เลนส์ 3 สัปดาห์
เพื่อให้สายตากลับมาเป็นปกติ เธอบอกว่ากำลังคิดผ่าตัดรักษาภาวะสายตาผิดปกติด้วยวิธีเลสิค

       
       “ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าสายตาฉันแย่ลงเร็วมากและอาจแย่กว่านี้ถ้ามารักษาไม่ทัน เพราะมีโอกาส
ตาบอดได้ น่ากลัวมาก ถ้ารู้เรื่องนี้แต่แรก ฉันคงระวังมากกว่านี้”



ข้อมูลและภาพจาก http://www.manager.co.th  

งานวิจัยพบเลือกคู่ผิดชีวิตสั้นลง อยู่กับคนเครียด-ความสุขบินหาย


           นักวิจัยเชื่อว่ามนุษย์เราก็เหมือนกับนกฟินช์ หากคนที่อยู่ด้วยมีแต่ความเครียด เราก็จะพลอยทุกข์และหาความสุขยากไปด้วย แม้ว่าจะพยายามมองชีวิตแง่บวกแล้วก็ตาม
       เดลิเมล์ - ชี้อยู่กับคนเครียดขึ้นสมอง ทำให้อายุสั้นลงได้ ทั้งที่คุณพยายาม
คิดบวกกับชีวิตแล้วก็ตาม
       
       การศึกษานกฟินช์พบว่า อัตราการตายพุ่งขึ้นชัดเจนในหมู่นกที่มีคู่ที่วิตกกังวล สะท้อนว่า
ความเครียดติดกันได้ระหว่างคู่ผัวตัวเมีย
       
       นักวิจัยเชื่อว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับมนุษย์เช่นเดียวกัน เหตุผลส่วนหนึ่งคือ คนวิตก
จริตเป็นคนที่อยู่ด้วยลำบากและทำให้เกิดความไม่สบายใจอย่างแรง
       
       ศาสตราจารย์แพต โมนาแกน จากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ สก็อตแลนด์ ระบุว่านกที่ไม่เครียด
มีอัตราตายสูงกว่าปกติถึง 4 เท่า หากมีคู่ที่มีประสบการณ์เครียดตั้งแต่เกิด
       
       “สาระที่อยากฝากไว้ก็คือ การเลือกคู่ผิดอาจทำร้ายสุขภาพของคุณอย่างมาก”
       
       งานวิจัยที่เผยแพร่ในโปรซีดดิงส์ ออฟ เดอะ รอยัล โซไซตี้ บี ยังพบว่าผลจากความเครียด
ที่มีต่ออายุคาดเฉลี่ยไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบันของเราเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับ
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของชีวิตด้วย
       
       การได้รับฮอร์โมนความเครียดเพิ่มเพียงระยะเวลาสั้นๆ ตอนเล็กๆ ทำให้นกฟินช์มีปฏิกิริยา
ต่อความเครียดมากขึ้นเมื่อโต และส่งผลให้อายุคาดเฉลี่ยลดลงอย่างมากในวัยผู้ใหญ่
       
       ผลการค้นพบที่น่าประหลาดใจคือ ผลลัพธ์แง่ลบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่กับนกตัวนั้นเท่านั้น แต่นก
ที่เป็นคู่ของมันพลอยมีอายุคาดเฉลี่ยลดตามไปด้วย
       
       สัตว์มีกระดูกสันหลังตอบสนองต่อความเครียดในรูปแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นนกฟินช์หรือคน 
และสัตว์ประเภทนี้ยังมีความผูกพันแน่นหนากับคู่ของตนด้วย
       
       ในการทดลองที่ครอบคลุมนกเกือบ 200 ตัว นักวิจัยให้ฮอร์โมนความเครียดธรรมชาติกับนกครึ่งหนึ่ง
หลังเกิด 2 สัปดาห์ หลังจากนั้น นกทั้งหมดถูกจับมาอยู่รวมกันในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากความเครียด
จนถึงวัยผู้ใหญ่
       
       นักวิจัยพบว่า การได้รับความเครียดอย่างมากในช่วงต้นของชีวิต ทำให้นกกลุ่มแรกมีปฏิกิริยาต่อ
ความเครียด เช่น การได้อาหารในปริมาณที่คาดเดาไม่ได้ มากกว่าเมื่อโตขึ้น ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับ
นกที่ไม่ได้รับฮอร์โมนความเครียด
       
       แม้สิ่งนี้อาจดีสำหรับนกในการหลีกหนีการตกเป็นเหยื่อของสัตว์อื่น แต่ความเครียดที่เพิ่มขึ้นเป็น
อันตรายต่อสุขภาพ
       
       จากนั้น นักวิจัยแยกนกให้อยู่เป็นคู่เพื่อผสมพันธุ์ และติดตามผลอายุคาดเฉลี่ยนาน 3 ปี
       
       สิ่งที่พบคือ นกที่ได้รับฮอร์โมนความเครียดอายุสั้นกว่า เช่นเดียวกับคู่ของมันที่แม้ไม่ได้รับ
ฮอร์โมนเลยก็ตาม
       
       สถานการณ์เลวร้ายที่สุดคือ เมื่อนกที่เครียดตั้งแต่เด็กมาจับคู่กัน อัตราตายพุ่งสูงกว่าปกติถึง 8 เท่า
       
       “ถ้าพิจารณาเรื่องนี้ในสถานการณ์ของมนุษย์ เราอาจตั้งสมมติฐานได้ว่าช่วงเศรษฐกิจถดถอย 
คนที่เครียดตั้งแต่เด็กจะยิ่งเครียดมากกว่าคนอื่นๆ ซึ่งถือเป็นข่าวร้ายสำหรับคู่ของคนๆ นั้น”


ข้อมูลจาก http://www.manager.co.th  และภาพจากอินเทอร์เน็ต

งานวิจัยเผย “น้ำตาลเทียม” คือ “ศัตรู” ของคนอยากผอม!

                 


เอเอฟพี – หากคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าการรับประทานน้ำตาลเทียมแล้วจะช่วยให้
ได้รับพลังงานส่วนเกินน้อยลง คุณจะต้องเปลี่ยนความคิดแน่ๆ หลังจากที่อ่าน
งานวิจัยใหม่ของมหาวิทยาลัยเยลแล้ว
       
       งานวิจัยฉบับใหม่ของเยลพบว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์รสหวานที่ให้พลังงานต่ำ 
แท้ที่จริงแล้วเป็นการบั่นทอนความพยายามลดปริมาณแคลอรีที่บริโภคเข้าไป เพราะจะ
ไปกระตุ้นให้เราต้องการรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูงขึ้นในภายหลัง
       
       หรือ อย่างที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ถึงแม้เราจะมีความตั้งใจดีก็ตาม แต่อย่างไรเสีย
น้ำตาลเทียมพวกนี้ก็หลอกสมองของเราไม่ได้
       
       นั่นก็เป็นเพราะว่า ในงานวิจัยที่ใช้หนูทดลองชิ้นนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตเห็นว่า 
สัญญาณเฉพาะทางสรีรวิทยาอย่างหนึ่ง ที่มีหน้าที่ควบคุมระดับสารโดปามีน ซึ่งเป็น
สารเคมีที่จะหลั่งออกมาเมื่อเกิดความรู้สึกพึงพอใจ จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อน้ำตาลสลายตัวอยู่ในรูป
ที่สามารถเผาผลาญและเป็นพลังงานแก่ร่างกายได้
       
       ในการวิจัยครั้งนี้ คณะนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดสอบทางพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง
กับสารให้ความหวานและน้ำตาล และวัดปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในวงจรของสมอง
       
       “ตามข้อมูลที่ได้ เมื่อเราให้สสาร (น้ำตาลเทียม) ที่ไปรบกวนขั้นตอนสำคัญยิ่ง
ในกระบวนการ ‘เปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงาน’ สัตว์ทดลองจะรู้สึกสนใจบริโภคสาร
ให้ความหวานน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ในเวลาเดียวกันระดับของโดปามีนในสมอง
ก็ลดลงไปมากเช่นกัน” อีวัน เด อาเราโจ หัวหน้าคณะผู้เขียนของวารสาร “Journal 
of Physiology” อธิบาย
       
       ในบทความแสดงความคิดเห็นซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร “Trends in Endocrinology 
& Metabolism” เมื่อช่วงฤดูร้อนนี้ คณะผู้เชี่ยวชาญอ้างถึงงานวิจัยคล้ายๆ กันซึ่งชี้ว่า 
การรับประทานสารให้ความหวานที่ให้พลังงาน 0 กิโลแคลอรี จะไปเปลี่ยนแปลงศูนย์
ความสุขในสมอง และทำให้ร่างกายแสดงปฏิกิริยาตอบสนองรสหวานแบบเบื่อหน่ายหดหู่ 
ส่งผลให้หนูทดลองหันมากินอาหารที่ให้พลังงานสูงขึ้นในภายหลัง
       
       นอกจากนี้ น้ำตาลเทียมยังมีส่วนทำให้เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวานประเภท 2 และ
โรคหลอดเลือดหัวใจ
       
              

       บทเรียนทั้งหมดที่ได้จากงานวิจัยชิ้นนี้คือ ควรจำกัดการบริโภคสารให้ความหวาน
แทนน้ำตาล หมั่นดื่มน้ำเปล่า และถ้าอยากกินของหวานจนทนไม่ได้ ก็ลองเปลี่ยนไป
ดื่มน้ำผลไม้ที่มีกากใยสูง และไม่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ หรือพวกสมูทตีแทน


ข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/ และภาพจากอินเทอร์เน็ต

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

วิจัยชี้คนบราซิลตายเพราะมลพิษมากกว่าอุบัติเหตุ


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเซา เปาโล ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า  ผลการสำรวจ
จากสถาบันสุขภาพและสิ่งแวดล้อม นำทีมโดยนางเอแวนเจลินา วอร์มิตแท็ค ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์
และสุขภาพจากมหาวิทยาลัยเซา เปาโล ซึ่งสำรวจระหว่างปี 2549-2554 ระบุว่า ในเมืองดังกล่าวแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิต
จากมลพิษทางอากาศจำนนวน 4,655 ราย มากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่มีเพียง 1,556 ราย
เมืองเซาเปาโล มีประชากรอาศัยอยู่ราว 42 ล้านคน และมีรถยนต์จำนวน 4ล้านคัน แล่นอยู่บนท้องถนน
จนเป็นเหตุให้การจราจรติดขัดทุกๆวัน ดังนั้นมลพิษทางอากาศจึงเป็นสาเหตุให้คนเมืองดังกล่าวเสียชีวิต
มากที่สุด โดยมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมและเอดส์ นอกจากนี้ ระดับมลพิษทางอากาศ
ที่วัดได้อยู่ที่ 20-25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินระดับที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้อยู่ที่
10  ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ทั้งนี้ ในระดับประเทศนั้น การเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศก็ยังเป็นสาเหตุอันดับหนึ่ง โดยอยู่ที่ราว
15,000 รายต่อปี ขณที่การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุตามท้องถนนอยู่ที่ราว 7,900 ราย โดยผู้เชี่ยวชาญ
กล่าวเพิ่มเติมว่า มลพิษทางอากาศอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม โรคทางเดินหัวใจและโรค
เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ
ภาพและข้อมูลจาก http://www.dailynews.co.th

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

หมอชี้กินยา"มาก-ซ้ำซ้อน"สุดอันตราย

เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์
อายุรวัฒน์นานาชาติ ภายใต้ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (ทีเซลส์) 
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวแสดงความห่วงใยการบริโภคยา
ที่มากเกินความจำเป็น ว่า ปัจจุบันมียาจำนวนมาก และยาหลายชนิดมีฤทธิ์ซ้ำ
และก้ำกึ่งกัน เช่น ยาลดไข้ก็สามารถแก้ปวดได้ หรือยาละลายลิ่มเลือดก็แก้ปวด
ได้ด้วย ทำให้เกิดปัญหายาเป็นพิษ ปัญหานี้มักพบได้กับคนที่ใช้ยาเยอะอยู่แล้ว 
หรือมียาประจำตัวอยู่แล้ว ต่อไปก็จะเจอปัญหาสับสนกับการใช้ยาเพราะประเทศไทย
จะเข้าสู่สังคมอุดมยา

"กฎข้อห้ามข้อหนึ่งคือการกินยายิ่งมาก ยิ่งเสี่ยงมาก ทั้งพิษจากยาและยาออกฤทธิ์ตีกัน อีกข้อหนึ่งคือ กินยามากไม่ได้ช่วยให้หายมากขึ้น ตรงข้ามอาจทำให้ตับวายมากกว่า" น.พ.กฤษดากล่าว



น.พ.กฤษดากล่าวว่า เพื่อระงับปัญหาจากการกินยามาก เวชศาสตร์อายุรวัฒน์มี 5 เทคนิคจัดโปรแกรมกินยาไม่สับสน แบบง่ายๆ สำหรับคนกินยาเยอะ คือ 1.แยกยาเป็นชนิดเขียนชื่อกำกับไว้ให้ชัดเจน 2.เขียนฉลากโดยเขียนฤทธิ์ยาสั้นๆ ติดไว้ พร้อมวิธีรับประทาน 3.ใช้ตลับแบ่งยา ข้อนี้ช่วยคนกินยาเยอะไม่ให้กินยาซ้ำ เช่น ยาละลายลิ่มเลือดหากกินซ้ำเข้าไปก็อาจทำให้ตกเลือดจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ 4.พกยาติดตัวไปหาหมอเพื่อไม่ให้เกิดการจ่ายยาซ้ำ สุดท้ายคือ ขอให้ถามหากสงสัย โดยเฉพาะเรื่องของยาซ้ำ ให้ถามแพทย์หรือเภสัชกร

ผู้อำนวยการศูนย์ เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ กล่าวว่า จากประสบการณ์การรักษาคนไข้ ได้รับคำถามมากมายเกี่ยวกับภาษาทางเคมีและปฏิกิริยาในทางเภสัชวิทยา ทำให้เกิดความสับสนในเรื่องของการใช้ยา คือ ยาลดความดันกับยาโรคหัวใจ ยากลุ่มนี้มีอยู่มาก บางตัวลดความดันและทำให้หัวใจเต้นช้าลง แต่ถ้ารับประทานผิดคือซ้ำซ้อนจนทำให้มากเกินไปอาจทำให้ หัวใจเต้นช้า มึนศีรษะ หน้ามืด เหนื่อยไม่รู้สาเหตุ ยิ่งกว่านั้นถ้าเป็นภูมิแพ้หอบหืดอยู่จะถึงขั้นหลอดลมตีบเสียชีวิตได้ ยาลดไขมันคอเลสเตอรอลกับยาลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ ถูกเรียกให้สับสนว่า “ยาลดไขมัน” เหมือนๆ กัน

การรับประทานที่มากเกินไปและต่อเนื่อง อาจจะส่งผลให้มึนศรีษะ ไม่สบายตัว ปวดตามร่างกายและทำให้ตับทำงานหนักถึงขั้นเสื่อมเร็วได้ ยาแก้ปวดกับ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาประเภทนี้มักถูกจ่ายคู่กันซึ่งในหลายครั้งไม่จำเป็นต้องกินควบเลย เพราะการได้รับมากไปใช่ว่าจะทำให้ดีขึ้น หลักง่ายคือห้ามคิดว่า ปวดมากต้องกินยามาก อันนี้จะอันตรายหนักขึ้น

“ยาแก้แพ้กับยาแก้หวัด เป็นยาที่ถูกจ่ายบ่อยมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีหลักง่ายคือ ยาแก้แพ้บางชนิดไม่ใช่ยาแก้หวัด และยาแก้หวัดบางชนิดก็ไม่อาจแก้แพ้ได้ ข้อสำคัญคืออย่าใช้ซ้ำซ้อนกันมาก หากเป็นหวัดไปหาคุณหมอขอให้บอกว่าท่านใช้ยาเหล่านี้อยู่ครับจะได้ไม่ถูกจ่าย ยาซ้ำ ยาแก้อักเสบกับยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) ยา 2 ชนิดนี้ไม่ใช่ยาตัวเดียวกันเลย แต่ถูกจับมาเรียกจนคุ้นปากคุ้นหู ขอให้ทราบว่ายาแก้อักเสบมีอยู่กว้างมากและฆ่าเชื้อไม่ได้

ส่วนยาฆ่าเชื้อนั้นก็ใช่ว่าจะแก้อักเสบได้เสมอไป ถ้าใช้ยาฆ่าเชื้อนานไปจะเสี่ยงเชื้อดื้อยา มากขึ้นด้วย ยาคลายเครียดกับยานอนหลับ ยากลุ่มคลายเครียดอาจมีฤทธิ์ง่วงก็จริงแต่ไม่ใช่ยาช่วยให้หลับเพราะยาคลาย เครียดหรือต้านซึมเศร้ามีฤทธิ์ไปกวนสารเคมีในสมองทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้ การรับประทานคู่กันจะยิ่งอันตรายต่อเคมีในสมองมากขึ้น

ยาลดไข้กับยาแก้ปวด ท่านที่ทานยาแก้ปวดเป็นประจำอยู่ เมื่อมีไข้ขอให้ระวังการทานยาลดไข้เพิ่ม และให้หยุดยาแก้ปวดก่อน เพราะยาทั้งสองชนิดมีฤทธิ์ซ้ำซ้อนกันมาก และพิษก็ซ้ำซ้อนกันมากด้วย

ยาโรคกระเพาะกับยาแก้ปวดบิดไส้ เวลาปวดท้องหมออาจจะให้ยาร่วมกันมาทั้ง 2 ชนิด ขอให้ดูให้ดีก่อนรับประทาน หากเป็นโรคกระเพาะไม่มากอาจไม่ต้องกินยาแก้ปวด หรือท่านที่ปวดท้องแต่ไม่แน่ใจว่าจากลำไส้ขอให้เลี่ยงยาแก้ปวดบิดไส้ไว้ก่อนยาช่วยระบายกับยาถ่าย ยกตัวอย่างยาช่วยระบายเช่น ใยอาหาร มะขามแขก ส่วนยาถ่ายคือแบบที่ทำให้ปวดลำไส้ถ่ายเหลวคล้ายท้องเสีย หากรับประทานร่วมกันจะทำให้เกิดอันตรายถ่ายจนถึงขั้นช็อกได้

ยาละลายลิ่มเลือดกับยาช่วยเลือดไหลคล่อง ยาละลายลิ่มเลือดอย่าง “แอสไพริน” ถ้ากินกับยาที่ทำให้เลือดไหลคล่องอย่าง “วาร์ฟาริน” จะทำให้เกิดเลือดออกได้มากหากไม่ระวัง ดังนั้น เทคนิคคือไม่ควรรับประทานร่วมกันและหมั่นเจาะเลือดดูการแข็งตัวของเลือดอยู่เสมอ


ยาสร้างเม็ดเลือดกับยาธาตุเหล็ก ยา 2 ชนิดนี้บางทีถูกจ่ายคู่กัน แม้จะทานร่วมกันได้แต่มันมีพิษโดยเฉพาะกับ “ธาตุเหล็ก” ในกรณีที่โลหิตจางอย่างไม่แน่ใจขอให้เลี่ยงธาตุเหล็กไว้ก่อนเพราะมันเป็นพิษ กับโลหิตจางชนิด “ธาลัสซีเมีย” ส่วนยาสร้างเม็ดเลือดที่เป็น “โฟลิก” นั้นปลอดภัยรับประทานได้ในเลือดจางทุกประเภท

ภาพจากอินเทอร์เน็ตและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของถั่วเขียวต้ม(น้ำตาล)


ห็นหน้าตาบ้านๆ อย่างนี้ “ถั่วเขียว” ไม่ได้เป็นอาหารแต่เฉพาะของพวกเราชาวไทย แต่ถั่วเม็ดกลมๆ เล็กๆ ชนิดนี้ปลูกกันทั่วไปในพื้นที่เขตร้อน

          ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม พม่า บังกลาเทศ อินเดีย ลามไปถึงทางตอนใต้ของแถบยุโรป และอเมริกาใต้ด้วย

          องค์ประกอบที่สำคัญของถั่วเขียวคือ แป้ง (62.7%) โปรตีน (21.7%) ความชื้น (10.2%) และไขมัน (1.5%) จึง พอจะสรุปได้ว่าถั่วเขียวไม่ใช่พืชที่ให้น้ำมันหรือโปรตีนเป็นหลัก แต่ก็ถือว่ามีโปรตีนสูงเมื่อเทียบกับบรรดาถั่วทั้งหลาย แล้วพอมีแป้งอยู่เยอะ ถั่วเขียวเลยถูกนำไปเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมแป้งถั่วเขียว ที่เอาไปทำวุ้นเส้น หรือซ่าหริ่ม

          มีงานวิจัยพบว่า วุ้นเส้นให้ค่าการตอบสนองต่อน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อเทียบกับอาหารคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ อย่างข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ หรือเส้นหมี่ จึงเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าแป้งมีผลต่อระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด เพราะคาร์โบไฮเดรตที่บริโภคเข้าไปจะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ที่มีความสัมพันธ์กับโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด

          อย่างไรก็ตาม การบริโภคถั่วเขียวและผลิตภัณฑ์จากถั่วเขียว ควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะถ้ากินมากเกินพอดีก็จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเกิน กว่าที่ร่างกายต้องการใช้ และถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เป็นอันว่ากินถั่วเขียว หรือวุ้นเส้นแล้วอย่านึกว่าไม่อ้วน มากเกินไปก็อ้วนได้เหมือนกัน

          ในเมื่อถั่วเขียวมีโปรตีนสูงเมื่อเทียบกับถั่วเมล็ดแห้งอื่นๆ จึงนับว่าเป็นแหล่งอาหารโปรตีนได้ นอกจากนี้ โปรตีนจากถั่วเขียวยังมีราคาถูกเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ การเลือกรับประทานโปรตีนจากพืชแทนเนื้อสัตว์ ช่วยสามารถหลีกเลี่ยงการรับไขมันเกินความจำเป็นได้ด้วย ถั่วเขียวยังมีวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูก และธาตุเหล็กซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดง ยังมีใยอาหารช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด และลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

-ถั่วเขียว จึง เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และทำอาหารได้หลากหลาย ตั้งแต่ ถั่วเขียวต้มน้ำตาล หรือเมนูอาหารคาวก็ต้องตำรับคลาสสิกจากเมืองจีน...ผัดถั่วงอก แต่ถ้าอยากประยุกต์จานเด็ดแบบตะวันตก 'ถั่วงอกแนวฟิวชั่น' ใช้เป็นส่วนผสมของสลัดจานโปรดก็ไม่ผิด

- ถั่วงอก คือ ถั่วเขียวที่เพาะให้งอกราก ขึ้นง่าย ประหยัดเวลาและสตางค์ แต่มีข้อมูลว่าถั่วงอกส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายนั้นมีสารปนเปื้อนอยู่เพียบ เนื่องจากผู้ขายอยากให้ดูน่ากินกรุบกรอบ ขาว อวบ และมีคุณสมบัติคงทนเหี่ยวช้าเพื่อประโยชน์ในการขนส่งทางไกล ผู้บริโภคเลยรับสารเคมีไปเต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นสารเร่ง สารอ้วน สารฟอกขาว (โซเดียมไฮโดรซัลไฟด์) สารคงความสด (ฟอร์มาลิน) สารเคมีพวกนี้กระทรวงสาธารณสุขห้ามใช้กับอาหาร เพราะมีอันตรายต่อร่างกาย รับประทานเข้าไปแล้วอาจมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจ ระบบประสาทและอาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตกันเลยทีเดียว
          ในเมื่อถั่วงอกปลูกง่าย ทางที่ดีปลูกกินเองในบ้าน แค่ 3 วัน ก็ได้กินแล้ว สมัยเรียนประถมหลายคนต้องเคยปลูก ถ้าจำได้ก็ลงมือขุดดินหลังบ้านกันเลย...
- ถั่วเขียวต้มน้ำตาล
             ส่วนผสม ถั่วเขียว 1 ถ้วยน้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย น้ำเปล่า 5 ถ้วย

- วิธีทำ ล้างถั่วเขียว คัดเอาเม็ดเสียๆ ออก แล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง แล้วเอาถั่วเขียวใส่หม้อตุ๋นเล็กๆ เติมน้ำตาลและน้ำลงไป ตุ๋นประมาณ 1 ชั่วโมง ตักเอาฟองออก ตุ๋นต่อจนครบ 2-3 ชั่วโมง ระดับความเปื่อยตามชอบ

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

รีวิว แบรนด์เห็ดสกัดเข้มข้น

รีวิวผลการดื่มแบรนด์เห็ดสกัดเข้มข้น
รีวิวผลการดื่มแบรนด์เห็ดสกัดเข้มข้นตอนที่ 2

ตอนนี้ไปซื้อกล่องที่ 2 มา กินไปได้  4  ขวดแล้ว ก็ดีเหมือนเดิม มีบางความคิดเห็นบอกว่า
ที่หน้าเป็น  เซ็บเดิร์ม กินแล้วดีขึ้น หน้าเราก็เป็นจนจะอายุ 60 แล้วก็ยังเป็นไม่เลิก
 กินแบรนด์ไป 12  ขวดแล้วเราสังเกตที่หน้าเราก็ยังไม่ส่งผล (รอยด่างลอกไม่ลดลง) อะไร
รอให้หมดอีก 4 ขวด แล้วค่อยมารายงานผลอีกทีนะ



รีวิวผลการดื่มแบรนด์เห็ดสกัดเข้มข้นตอนที่ 1

เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ไปเดินที่แมคโครฯ แล้วเห็นมีแบรนด์เห็ดสกัดเข้มข้นขาย ตามประสาคนชอบ
กินอะไรที่มันไม่หวานก็เลยทดลองซื้อมากิน 1 กล่อง ข้างในมี 8 ขวดใส่กล่องเล็กๆอยู่

กินตอนก่อนเข้านอน เขย่าขวดก่อนกินนะคะ   รสชาดและกลิ่นก็เห็ดต้มกับน้ำแล้วไม่ปรุงรส
แต่เข้มข้นกว่า แล้วก็เข้านอน .....



ตื่นมาลืมไปแล้วว่ากินแบรนด์เห็ดสกัดเข้มข้นไป 1 ขวด เพียงรู้สึกว่าไม่เพลีย  ก็คิดว่าคงนอนมาก
เพราะปกติบอกตัวเองเสมอหลังจากออกจากงานประจำว่า ต้องนอนวันละ 6-8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
อย่างกับสูตรการดื่มน้ำเลยละ  แต่บางคืนเบี้ยวกฏก็มี แอบเล่นเกม  เสริชเน็ตจนดึกตีหนึ่งตีสอง
ตอนนี้กินมาได้ 7 วัน ก็สังเกตพบว่า แม้จะนอนดึกเป็นบางคืน ตื่นมาก็ไม่เพลีย  ชอบค่ะ   

ปกติเป็นคนที่กินเนื้อสัตว์แล้วท้องจะอืดมาก แต่ละมื้อเลยกินเนื้อสัตว์น้อยมาก ชิ้นสองชิ้นเท่านั้น 
 เน้นที่ผัก แม้แต่ยอดผักสดบางชนิดก็กินไม่ได้ (เรื่องมากจริงๆ)  เช่นยอดกระถิน สะตอ เมินไปได้เลย  
ถ้ากินเป็นเรื่องแน่ หลายคนอาจจะบอกว่า ฉันก็เป็น ไม่เห็นประหลาด  ก็มันเป็นมากจนพุงป่องออกมาเห็นชัดเจนเลย   ตอนนี้สามารถกินเนื้อหมู เนื้อไก่ ได้มากขึ้น โดยท้องไม่อืด และพุงก็ยุบเป็นปกติดี ว่าจะลองกินต่ออีกสัก 2-3 กล่อง  

สำหรับอาการอย่างอื่นยังไม่มีอะไรที่สังเกตได้  แล้วจะมารายงานผลอีกค่ะ  

มารายงานผลเพิ่มเติม  

ตอนนี้ กินไปก็หลายกล่องแล้ว การเป็น เซ็บเดิร์ม ของเราไม่เห็นผลดีขึ้น แปลว่า สำหรับเรา กินแบรนด์เห็ดสกัดเข้มข้นแล้ว ไม่ส่งผลกับเซ็บเดิร์ม  ส่วนอาการท้องอืดก็ลดน้อยลงแล้ว ก็ถือว่าดีนะ สำหรับเรา