วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ข้าวกล้องงอก



 คนส่วนใหญ่ที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลักมักนิยมรับประทานข้าวหุงสุกจากข้าว ทั้งเมล็ด และส่วนมากจะเป็นข้าวที่มีลักษณะสีขาวผู้รับประทานข้าวกล้องเป็นประจำยังมี อยู่เป็นจำนวนน้อย   เนื่องจากข้าวกล้องมีเนื้องสัมผัสที่แข็ง   แต่หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาบริโภคข้าวกล้องแทนข้าวขาวได้ก็จะทำให้ร่าง กายได้รับสารอาหารที่มีปรโยชน์มากขึ้น

ข้าวกล้องงอก (germinated brown rice หรือ “GABA-rice”) ถือเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากข้าวกล้องงอกเป็นการนำข้าวกล้องมาทำให้เกิดการงอกขึ้น โดยปกติแล้ว   ในตัวข้าวกล้องเองประกอบด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าจำนวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก (Phytic acid) วิตามินซี วิตามินอี และสารกาบา (gammaaminobutyric acid , GABA) วึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และช่วยในการควบคุมน้ำหมักเป็นต้น   เมื่อนำข้าวกล้องมาแช่น้ำเพื่อทำให้งอก   จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหารโดยเฉพาะสารกาบาเพิ่มขึ้น   ซึ่งนอกจากจะได้ประโยชน์จากการที่มีปริมาณสารอาหารที่มีคุณค่าสูงขึ้นแล้ว   ยังทำให้ข้าวกล้องงอกที่หุงสุกมีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม   รับประทานได้นุ่นกว่าข้าวกล้องธรรมดาและง่ายปก่การหุงรับประทานโดยไม่ต้อง ผสมกับข้าวขาวตามความนิยมของผู้บริโภคที่ชอบข้าวที่มีลักษณะนุ่ม


 จากการศึกษาสมบัติทางกายภาพและทางชีวเคมีพบว่า “เมล็ดข้าว” ประกอบด้วย เปลือกหุ้มเมล็ด หรือแกลบ (Hull หรือ Husk) ซึ่งจะหุ้มข้าวกล้องไว้ ในเมล็ดข้าวกล้องประกอบด้วย จมูกข้าวหรือคัพภะ (Germ หรือ Embryo) รำข้าว (เยื่อหุ้มเมล็ด) และเมล็ดข้าวขาวหรือเมล็ดข้าวสาร (Endosperm) สารอาหารในเมล็ดข้าวประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบในส่วนต่างๆ ของเมล็ดข้าว นอกจากนี้   ยังพบสารอาหารประเภทไขมันซึ่งพบได้ในรำข้าวเป็นส่วนใหญ่


 ข้าวเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีการเจริญเติบโตจะมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี   การเปลี่ยนแปลง
จะเริ่มขึ้น เมื่อน้ำได้แทรกซึมเข้าไปในเมล็ดข้าว   และจะกระตุ้นให้เอนไซม์ภายในเมล็ดข้าว
เกิดการทำงาน เมื่อเมล็ดข้าวเริ่มงอก (malting) สารอาหารที่ถูกเก็บไว้ในเมล็ดข้าวก็จะถูก
ย่อยสลายไปตามกระบวนการทางชีวเคมี จนเกิดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุล
เล็กลง (oligosaccharide) และน้ำตาลรีดิวซ์ (reducing sugar) นอกจากนี้โปรตีนภายใน
เมล็ดข้าวจะถูกย่อยให้เกิดเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ รวมทั้งยังพบการสะสมสารเคมีสำคัญ
ต่างๆ เช่น แกมมาออริซานอล (gamma-oraznol) โทโคฟีรอล (tocopherol) โทโคไตรอีนอล
(tocotrienol) โดยเฉพาะสารแกมมาอะมิโนบิวทิริกแอซิต (gamma-mainobutyric acid)หรือ
ที่รู้จักกันว่า “สารกาบา” (GABA)
“สารกาบา” พระเอกของข้าวกล้องงอก
          สารกาบา (Gamma  maino  butyric  acid) เป็นกรดอะมิโนจากระบวนการ
 Decarboxylation ของกรดกลูตามิก (Gutamic  acid)   กรดนี้มีความสำคัญในการทำหน้าที่
เป็นสารสื่อประสาท (Neurotransmilter) ประเภทสารยับยั้ง (Inhibitor) ในระบบประสาทส่วนกลาง
โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมอง ช่วยทำให้สมองผ่อนคลายและนอนหลับสบาย   อีกทั้งยัง
ทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อ (Anterior Pituitary) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการ
เจริญเติบโต (HGH) ทำให้เกิดการส้รางเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อกระชับ และเกิดสารไลโปโทรปิค
 (Lipotropic) ป้องกันการสะสมไขมัน


         จากการศึกษาและวิจัยพบว่า าร บริโภคข้าวกล้องงอกซึ่งมีสารากาบามากกว่าข้าวกล้อง
ปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง และโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์ได้

ดังนั้น จึง ได้มีการนำสารกาบามาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่างๆ
หลายโรค เช่น โรควิตก กังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก เป็นต้น รวมทั้งผลการวิจัยด้านสุขภาพ
ระบุว่าข้าวกล้องงอกที่ประกอบด้วยสารกาบา   มีผลช่วยลดความดันโลหิต ลดไลโปรตีนโคเลส-
เตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำ (Low Density Lipoprotein , LDL) ในเลือด ลดน้ำหนัก ลดอาการ
อัลไซเมอร์ ทำให้ผิวพรรณดี และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลางได้อีก
จากการวิจัยเบื้อต้นของ อ.พัชรี   ตั้งตระกลู สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ได้ทำการศึกษาหา พันธุ์ข้าวที่เหมาะสมและสภาพการผลิตข้าวกล้องงอกที่มี
ประสิทธิภาพ พบว่า ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เมื่อนำมาเพาะสำหรับข้าวกล้องงอก 100 กรัมจะมี
สารกาบามากที่สุด (15.2-19.5 มิลลิกรัม) ซึ่งสูงกว่าข้าวกล้องปกติ ส่วนสภาพการผลิตข้าว
กล้องงอกได้ดี คือ ต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำราว 48-72 ชั่วโมง ในหม้อแช่ โดยมีการควบคุม
อุณหภูมิ การไหลเวียนน้ำความดัน และความเป็นกรดด่างของน้ำ เพื่อให้ความชื้นจากน้ำไป
กระตุ้นให้เมล็ดข้าวงอกและเปลี่ยนกรดลูตามิกไปเป็น สารกาบาอันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด  
เมื่อได้ข้าวกล้องงอกในขั้นตอนนี้แล้ว ต้องทำให้ข้าวกล้องงอกหยุดการงอกต่อไป   โดยการ
อบแห้งให้มีความชื้นต่ำกว่า 14% ในหม้ออบแห้ง   จากนั้นจึงบรรจุลงในถุงสุญญากาศพร้อม
ขายเป็นลำดับสุดท้าย สำหรับข้าวกล้องที่สามารถนำมาแช่น้ำให้เกิดการงอกได้นั้นจะต้องเป็น
ข้าวกล้องที่ผ่านการขัดสีเปลือกมาไม่นานเกิน 2 สัปดาห์
คุณประโยชน์ของสารต่างๆ ในข้าวกล้องงอก
1.สารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มฟีโนลิค (phenolic compouds) ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า ชะลอความแก่          2.สารออริซานอล (orizanal)ลดอาการผิดปกติของวัยทอง          3. สารกาบา (GABA) ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคสูญเสียความทรงจำ ช่วยผ่อนคลาย
ทำจิตใจสงบหลับสบาย ลดความเครียดวิตกังวล ลดความดันโลหิต
          4.ใยอาหาร (food fiber) ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันมะเร็งลำไส้          5.วิตามินอี (vitamin E) ลดการเหี่ยวย่นของผิว

ผู้ที่ไม่ควรทานข้าวกล้อง
         สารต่างๆ ในข้าวกล้องงอกล้วนมีประโยชน์มากมาย ดังนั้นข้าวกล้องงอกจึงมีประโยชน์
ต่อทุกเพศ ทุกวัย ยกเว้นกับผู้ป่วยที่เป็รโรคเกาต์   ซึ่งไม่ควรรับประทาน เพราะเมล็ดข้าวกล้อง
หรือยอดผักต่างๆ ที่กำลังจะงอก จะมีสารยูริคจำนวนมาก จึงไม่เหมาะสมกับคนที่เป็นโรคเกาต์
ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการมีสารยูริคจำนวนมากสะสมอยู่ตามข้อจนเกิดการอักเสบ นั่นเอง



วิธีทำน้ำข้าวกล้องงอกด้วยตนเอง
          1. คัดเลือกข้าวกล้อง โดยข้าวกล้องที่สามารถนำมาแช่น้ำให้เกิดการงอกได้ดีนั้นจะต้อง
เป็นข้าวกล้อง ใหม่ที่ผ่านการขัดสีเปลือกมาไม่เกิน 2 สัปดาห์ (ถ้าเป็นข้าวเก่า ส่วนปลายข้าวจะ
ไม่สามารถงอกออกมาได้) มาซาวน้ำ ล้างเอากรวดทรายออกก่อนหนึ่งครั้ง
          2.นำข้าวกล้องไปแช่น้ำประมาณ 1 ลิจร ทิ้งไว้ประมาณ 48-72 ชั่วโมง เปลี่ยนน้ำบ่อยครั้ง
จะเกิดเป็นตุ่มงอกสีขาวขึ้นมาที่เมล็ดข้าว
          3. จากนั้นนำข้าวขึ้นมาผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปต้มให้เดือดโดยใช้ไฟปานกลาง แต่อย่าให้
เดือดมากเพราะถ้าร้อนมากไปสารบางกาบาจะถูกทำลาย เมื่อเดือดพอดีแล้วให้เคี่ยวต่อไปสัก
15-20 นาที สารกาบาจะยังเหลืออยู้ถึง 70% ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย
          4. ใช้ผ้าขาวบางหรือตะแกรงกรองน้ำข้าวมารับประทานได้ทันที   หรือจะเติมเกลือ น้ำตาล
เล็กน้อยเพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกปาก ไม่ควรเก็บน้ำข้าวกล้องงอกไว้หลายวัน เนื่องจากจะเกิดการ
บูดเสีย แนะนำให้ทำรับประทานวันต่อวัน
การบริโภคข้าวกล้องงอกที่มีสาร GABA มากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการ
ทำลายสมอง เนื่องจาก สารเบต้าอไมลอยด์เปปไทด์ (Beta-amyloid  peptide) ซึ่งเป็นสาเหตุ
ของโรคสูญเสียความทรงจำ (อัลไซเมอร์) ดังนั้น จึงได้มีการนำสาร GABA มาใช้ในวงการแพทย์
เพื่อรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่างๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ
 โรคลมชัก เป็นต้น
Cr.http://www.vcharkarn.com/


รับประทานข้าวกล้องงอก



ข้าวกล้องงอก มีคุณค่าทางอาหารสูง ในสมัยโบราณเรียกข้าวกล้องงอก ว่า "ข้าวยา" การรับประทานข้าวกล้องงอก ไม่เพียง เพื่อการอิ่มท้อง แต่เป็นการรับประทานเพื่อ "สุขภาพ" ที่ดี หรือเรียกว่า "การรักษาก่อนการเจ็บป่วย"
สิ่งแรกที่จะเห็นได้ทันที อย่างชัดเจน เมื่อได้รับประทานข้าวกล้องงอก คือการขับถ่าย การขับถ่ายที่ดี จะเป็นการขับสิ่งไม่พึงประสงค์ออกจากร่างกาย รวมทั้งสารพิษต่างๆ ออกมาด้วย ถ้ารับประทานข้าวกล้องงอกทุกวัน ก็จะทำให้ร่างกายได้ขับถ่ายเป็นอย่างดี อย่างต่อเนื่อง
สารกาบา เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อระบบประสาท การรับประทานข้าวกล้องงอก มื้อละ 1-2 ขีด ก็ถือว่าได้รับสารกาบาที่เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะการเลือกข้าวกล้องงอกที่ มีประมาณสารกาบาจำนวนมากๆ ก็จะทำให้ไม่ต้องรับประทานข้าวจำนวนมาก เช่น ข้าวกล้องงอก บีทูอี มีสารกาบา 95.6 มิลลิกรัม ต่อข้าว 1 ขีด ถ้ารับประทานข้าวบีทูอี 2 ขีดต่อวัน ก็จะได้รับสารกาบา 193 มิลลิกรัมา ต่อวัน ซึ่งถือว่ามีปริมาณสูงมากแล้ว
วิธีการรับประทานข้าวกล้องงอก สามารถนำไปทำอาหารได้หลายหลายวิธี เช่น

วิธีรับประทาน
ขนาดรับประทาน
ปริมาณข้าว
ปริมาณกาบา
(1)
มิลลิกรัม
ปริมาณกาบา
(2)
มิลลิกรัม
หุงเป็นข้าวสวย
1 จาน
50 กรัม
15 มิลลิกรัม
45 มิลลิกรัม
ข้าวต้ม
1 ถ้วย
15 กรัม
4.5 มิลลิกรัม
13.5 มิลลิกรัม
ข้าวโจ๊ก
1 ถ้วย (ซอง)
30 กรัม
9.0 มิลลิกรัม
27.0 มิลลิกรัม
ข้าวผงชง
1 ถ้วย (ซอง)
15 กรัม
4.5 มิลลิกรัม
13.5 มิลลิกรัม
น้ำข้าวกล้อง
1 ถ้วย
10 กรัม
3 มิลลกรัม
9 มิลลิกรัม
หมายเหตุ
ปริมาณกาบา (1) คำนวณ จากปริมาณ กาบาที่ 30 มิลลิกรัม / ข้าว 100 กรัม
ปริมาณกาบา (2) คำนวณ จากปริมาณ กาบาที่ 90 มิลลิกรัม / ข้าว 100 กรัม
น้ำหนัก โดยประมาณ
1.    ข้าว 1 ถ้วยตวง                น้ำหนัก 150 กรัม
2.    ข้าว 1 ช้อนกาแฟ (ช้อนชา)          น้ำหนัก    5 กรัม
3.    ข้าว 1 ช้อนคาว-ช้อนโต๊ะ    น้ำหนัก 10 กรัม
4.    ข้าว 1 กิโลกรัม หุงเป็นข้าวสวยได้ประมาณ 20 จาน (ขนาดข้าวลาดแกง)

- การหุงข้าวกล้องงอก เป็นข้าวสวย รับประทานแทนข้าว  วิธีนี้ง่ายที่สุดและจะได้รับสารกาบา
จำนวนมากเพราะเรามักจะรับประทานข้าว ประมาณ มื้อละ 1-2 ขีด

- ข้าวต้มข้าวกล้องงอก การต้มข้าวต้ม จะใช้ข้าวจำนวนน้อยกว่า แต่ละมื้อ อาจ
รับประทานข้าวต้ม 1-2 ถ้วยก็จะใช้ข้าวน้อยกว่า 1 ขีดต่อมื้อ

- นึ่งข้าวกล้องงอก เหมือนกับการหุงข้าวสวยรับประทาน

- โจ๊กข้าวกล้องงอก ปริมาณใกล้เคียงกับการทำข้าวต้ม
       
- น้ำข้าวกล้องงอก  ใช้ข้าวกล้องงอก เพียงเล็กน้อยเท่านั้นโดยทั่วไป จะใช้ข้าวกล้องงอก
  เพียงไม่เกิน 1 ช้อน หรือประมาณ 10-15 กรัม

- เปียกข้าวกล้องงอก    โดยประมาณเท่ากับข้าวการทำข้าวต้ม
        
- ข้าวต้มมัด-ข้าวหลาม ผสมข้าวกล้องงอก ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ข้าวกล้องงอกผสม
  โดยทั่วไป จะผสมข้าวกล้องงอก 10-20% เท่านั้น
       
 - ไอสครีมข้าวกล้องงอก ใช้ข้าวกล้องงอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นน่าจะน้อยที่สุด
ในกระบวนการทั้งหมด

อย่างไรก็ตามวิธีที่ดีและง่ายที่สุด ในการรับประทานข้าวกล้องงอก คือการหุง เป็นข้าวสวย รับประทานทุกวัน ถ้าต้องการให้ข้าวกล้องงอกนุ่ม ก็ควรแช่ข้าวกล้องงอก ไว้ก่อน จะนานแค่ไหน แล้วแต่ว่าจะต้องการนุ่มมากหรือน้อย เช่น 1-3 ชั่วโมง

Cr. patomsit.net/

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กินอย่างผู้สูงอายุ


เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ มักจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่ายกาย จิตใจ และสังคม โดยเฉพาะทางร่างกาย ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ เสื่อมลง เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ เช่น ผิวหนัง ผม ตา หู จมูก ลิ้น ฟัน เป็นต้น 
 

          ดังนั้นเราจึงควรใส่ใจในเรื่องต่างๆ ของผู้สูงอายุและพยายามปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามวัย ซึ่งสิ่งสาคัญอีกเรื่องคือ โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ นั่นคือ สารอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายนั่นเอง ผู้สูงอายุมีความต้องการพลังงานและสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เช่นเดียวกับบุคคลวัยอื่นๆ โดยที่ความต้องการพลังงานของร่างกายจะลดลง เนื่องจากการทำงานของอวัยวะต่างๆ น้อยลงกว่าเดิม ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรงอยู่แล้ว ควรได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ดังนี้ 

 
          1.อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เผือก และมันสำปะหลัง กลุ่มนี้เป็นสารอาหารหลัก และให้พลังงานแก่ร่างกายมากกว่าสารอาหารจากกลุ่มอื่น ผู้สูงอายุจึงควรรับประทานอาหารกลุ่มนี้แต่พออิ่ม คือ ข้าวมื้อละ 2 ทัพพี ควรเลือกเป็นข้าวไม่ขัดสี หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัดและของหวาน 
 
          2.อาหารประเภทโปรตีนหรือเนื้อสัตว์และงา ถั่วชนิดต่างๆ อาหารกลุ่มนี้จำเป็นในการซ่อมแซม และสร้างเนื้อเยื่อที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต เนื้อสัตว์ที่ผู้สูงอายุควรรับประทานคือ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีหนังหรือไขมันมากเกินไป โดยเฉพาะเนื้อปลาและถั่วชนิดต่างๆ 
          - กินไข่สัปดาห์ละ 3-4 ฟอง (ถ้าไขมันในเลือดสูงกินเฉพาะไข่ขาว) 
          - ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 1 แก้ว 
          - เลือกเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา ย่อยง่าย ควรดัดแปลงให้นุ่ม ชิ้นเล็กๆ 
          - กินถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำเพื่อให้ได้ใยอาหารเพิ่ม 
 
          3.อาหารประเภทผักต่างๆ ผักจะให้วิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีใยอาหารช่วยให้ระบบขับถ่ายขับถ่ายเป็นปกติ 
 
          4.อาหารประเภทผลไม้ ให้วิตามิน เกลือแร่ ใยอาหาร ผู้สูงอายุควรเลือกรับประทานผลไม้ที่เนื้อนุ่มเคี้ยวง่าย ได้แก่ มะละกอ กล้วยสุก ส้ม และควรรับประทานอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ 6-8 ชิ้น/คำ สำหรับผู้สูงอายุที่อ้วน หรือเป็นเบาหวานให้หลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน เป็นต้น 
 
          5.อาหารประเภทไขมัน ได้แก่ ไขมันจากพืช และไขมันจากสัตว์ จะให้พลังงานแก่ร่างกายและยังช่วยในการดูดซึมวิตามินบางอย่างด้วย แต่อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุก็ควรจำกัดอาหารประเภทไขมัน โดยรับประทานน้ำมัน 4-6 ช้อนชา เลือกใช้น้ำมันที่มีกรดไลโนเอิก เช่น น้ำมันหมู ไข่แดง กะทิ หนังสัตว์ เครื่องใน เนยมาการีน เป็นต้น 
 

          นอกจากนี้ เราควรดัดแปลงอาหารให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ เช่น การปรุงอาหารให้เปื่อยนุ่ม ง่ายต่อการเคี้ยว และการย่อย จัดแต่งอาหารให้มีสีสันน่ารับประทาน และควรปรุงสุกใหม่ๆ ทุกมื้อ หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารเค็มจัด หวานจัด ในผู้สูงอายุที่มีโรคประจาตัว ควรจัดอาหารให้เหมาะสมกับโรคที่เป็นด้วย 
 
          เพียงเท่านี้เราก็สามารถดูและผู้สูงอายุที่บ้านให้มีภาวะโภชนาการที่เหมาะสม มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว และมีความสุข

Cr. http://www.komchadluek.net/ โดยคุณธนพร จิวสุวรรณ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน)



วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กินมะเขือเทศอย่างไรให้ได้ไลโคปีนสูง


เทรนด์การดื่มน้ำผัก ผลไม้ ยังคงมีให้เห็นอยู่เนืองๆ และที่มาแรงเป็นกระแสในตอนนี้น่าจะเป็นการดื่มน้ำมะเขือเทศที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยม แต่จะบริโภคอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ลองไปดูวิธีการกันและเลือกบริโภคตามความชอบได้เลย



ไลโคปีน (Lycopene)เป็นสารสำคัญที่พบได้ในผลมะเขือเทศ จัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งใน 600 ชนิด พบไลโคปีนได้ใน มะเขือเทศ แตงโม เกรพฟรุตสีชมพู ฝรั่งสีชมพู และมะละกอ เป็นต้นพบไลโคปีนในปริมาณตั้งแต่ 0.9 -9.30 กรัม ใน 100 กรัมของมะเขือเทศสด
        
         ไลโคปีนเป็นสารประกอบที่ได้รับความสนใจเนื่องจากมีรายงานว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ที่ชัดเจนที่สุด คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก รองลงมา คือมะเร็งปอด กระเพาะอาหาร นอกจากนี้ก็ยังแสดงให้เห็นประโยชน์ของการได้รับไลโคปีนในการลดความเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ (colon) ทวารหนัก คอหอย ช่องปาก เต้านม ปากเป็นต้น
        
        ควรรับประทานมะเขือเทศสดหรือมะเขือเทศที่ผ่านการปรุงอาหารแล้ว
       ความเชื่อที่ว่าของสดดีกว่าของที่ปรุงแล้ว ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป ในกรณีของมะเขือเทศเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น มะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่า นอกจากนี้ความร้อนและกระบวนการต่างๆในการผลิตผลิตภัณฑ์มะเขือเทศยังทำให้ไลโคปีนเปลี่ยนรูปแบบ (จากไลโคปีนชนิด “ออลทรานส์”(all-trans-isomers)เป็นชนิด “ซิส”(cis -isomers)) คือ เป็นชนิดที่ละลายได้ดีขึ้น
        
        มะเขือเทศสดและผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ ชนิดใดให้ไลโคปีนสูงกว่ากัน
        
       โดยทั่วไป ปริมาณไลโคปีนในผลไม้และมะเขือเทศสดจะไม่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อนำมะเขือเทศสดไปผ่านกระบวนการผลิตให้อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์มะเขือเทศชนิดต่างๆ พบว่าปริมาณไลโคปีนสูงขึ้นมาก เนื่องจากมีการผ่านกระบวนการทำให้เข้มข้นขึ้น ดังนั้น อาหารอิตาเลียน พวกพิซซ่า สปาเก็ตตี้ ที่มีการแต่งรสด้วยซอส หรือผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste) ที่ผลิตจากมะเขือเทศ จึงเป็นแหล่งให้ไลโคปีนที่ดี ดังนี้
       
        ตัวอย่าง แสดงปริมาณไลโคปีนในมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ
       ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ / ปริมาณไลโคปีน(มิลลิกรัม ต่อ น้ำหนัก 100 กรัม)
       มะเขือเทศสด            3.70
       มะเขือเทศปรุงสุก        6.20
       ซอสมะเขือเทศ          7.99
       ซุปมะเขือเทศเข้มข้น    5.00-11.60
       น้ำมะเขือเทศ            12.71
       ซอสพิซซ่า               9.90-13.44
       ซอสมะเขือเทศ           112.63-126.49
       มะเขือเทศผง              5.40-150.0
       ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น  0.88-4.20
       
    



ภาพและข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/ โดย รศ. วิมล ศรีศุข   ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วิธีสังเกตอาการของมะเร็งชนิดต่างๆ




          มะเร็งถือเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก หากเรารู้จักตรวจสอบสุขภาพด้วยตนเองไว้เบื้องต้น อาการของมะเร็งก็จะไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงจนถึงชีวิต และทำให้ต้องเสียทรัพย์สินมากมาย

          อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายนั้น คุณสามารถสังเกตเห็นได้ ดังต่อไปนี้

          1.มะเร็งปากมดลูก อาการมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

          2.มะเร็งในมดลูก อาการมีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่า มีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง



          3.มะเร็งรังไข่ อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

          4.มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติ มักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ และมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย บางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

          5.มะเร็งปอด อาการมักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลาย น้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบาก หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

          6.มะเร็งตับ อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

          7.มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

          8.มะเร็งสมอง อาการปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรงหรือการเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

          9.มะเร็งในช่องปาก อาการมีก้อนบวมอยู่ในปากหรือที่ลิ้นเป็นเวลานาน มีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือ เป็นเวลานาน

          10.มะเร็งในลำคอ อาการเสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันที ทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้

          11.มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาเจียนออกมาเป็นเลือด ท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรือรู้สึกตื้อแม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ


          12.มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวม หรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานาน ควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่



          13.มะเร็งลำไส้ อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดท้องอย่างมาก และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

          14.มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย


          15.มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้ อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า เมลาโนมา (Melanoma) คือ เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระ จุดด่างหรือไฝ โดยเฉพาะถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ

Cr.Health_kappok

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

อึ้ง! 'ใบตองอ่อน' รักษาแผลหายเร็วกว่าผ้าก๊อซ


นักวิชาการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอีเซ จ.ศรีสะเกษ นำใบตองอ่อนมารักษาแผลถลอก ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แบบภูมิปัญญาไทย เผยสารเคลือบผิวของใบตอง ทำแผลหายเร็วขึ้นกว่า...
เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 57 นางไอยริษา เสาร์ศิริ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ ประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อีเซ อำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ จังหวัดศรีสะเกษ ได้นำเสนอผลงาน การรักษาแผลด้วยใบตองอ่อน ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาไทยในท้องถิ่น ในระบบบริการประชาชนและประสบผลสำเร็จ ได้ผลดี สร้างความพึงพอใจ ช่วยลดอาการเจ็บปวดของผู้ป่วยขณะทำแผลได้เป็นอย่างดี ในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2557 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่

โดยนางไอยริษา กล่าวว่า ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอีเซ มีผู้ป่วยไปรับบริการทำแผล 12-25 ราย โดยเป็นบาดแผลเปิด แผลถลอกร้อยละ 40 แผลถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ร้อยละ 20 แผลเปื่อยติดเชื้อร้อยละ 25 แผลที่สร้างความเจ็บปวดให้ผู้ป่วยมากที่สุดคือ บาดแผลถลอก และแผลถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก เนื่องจากเมื่อปิดผ้าก๊อซ เคลือบวาสลินบนแผลแล้ว แผลจะแห้งและลอกหลุดยาก ต้องใช้น้ำเกลือล้างแผล ช่วยละลายสิ่งคัดหลั่งบนแผลให้ชุ่ม จึงจะลอกผ้าก๊อซออกได้ ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวด กลัวการทำแผล จึงได้ศึกษาภูมิปัญญาวิถีชาวบ้านด้านการดูแลบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกและแผลถลอก โดยใช้ใบตองกล้วยใบอ่อน ที่ยังไม่คลี่ใบ มาใช้ปิดบาดแผล แทนการใช้ผ้าก๊อซเคลือบวาสลิน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดูแลให้แผลหายเร็วที่สุด ลดความเจ็บปวดขณะทำแผล


ทั้งนี้ จากการศึกษาการใช้ใบตองอ่อนปิดแผล ให้ผู้ป่วยที่มีบาดแผลถลอก แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก จำนวน 20 ราย พบว่าบาดแผลที่ปิดด้วยใบตอง เนื้อเยื่อมีการสมานกับได้ดี และใบตองอ่อนไม่ติดกับบาดแผล จึงมีผลทำให้แผลหายเร็วกว่าแผลที่ปิดด้วยผ้าก๊อซ ประมาณร้อยละ 80 โดยบาดแผลถลอกไม่ลึกที่ใช้ใบตองปิด จะใช้เวลาหายประมาณ 7 วัน หากใช้ผ้าก๊อซปิด จะใช้เวลา  12-14 วัน ส่วนบาดแผลถลอก หรือแผลไฟไหม้ที่มีขนาดลึก การปิดแผลด้วยใบตองอ่อน จะหายประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนแผลที่ใช้ผ้าก๊อซปิด จะหายประมาณ 3-4 สัปดาห์ สร้างความพึงพอใจผู้ป่วยสูงถึงร้อยละ 98 มีอาการเจ็บปวดเล็กน้อยขณะทำแผล หากเป็นผู้ป่วยเด็กจะชื่นชอบมาก และไม่กลัวการทำแผลเหมือนที่ผ่านมา ส่วนในด้านต้นทุนพบว่า เกิดการลดต้นทุนต่อครั้ง ลงประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ การทำแผลและปิดแผลด้วยใบตองอ่อน ใช้เงินประมาณ 18-20 บาท ขณะที่การใช้ผ้าก๊อซเคลือบวาสลินปิดแผลใช้ประมาณ 50 บาท             
นางไอยริษา กล่าวต่อว่า ในการนำใบตองอ่อนมาปิดแผลนั้น จะต้องตัดใบให้พอเหมาะกับขนาดแผล จากนั้นคลี่ใบตองออก ตัดส่วนที่สัมผัสอากาศทิ้งไป จากนั้นใช้กรรไกรสะอาด ตัดใบตองขนาดพอดีกับการปิดบาดแผลสนิท และใช้ไม้พันสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ เช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อที่ด้านของใบตองที่มีผิวมันที่จะใช้ปิดแผล การเช็ดต้องเช็ดทางเดียวให้เต็มพื้นที่ เพื่อให้เกิดผลดีในการฆ่าเชื้อโรคได้ 100 เปอร์เซ็นต์   
หลังจากทำความสะอาดบาดแผลถลอก แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกตามมาตรฐานแล้ว ขั้นต่อไปคือการปิดแผล จะนำใบตองอ่อนที่ผ่านการเช็ดฆ่าเชื้อแล้ว มาปิดลงบนแผล และใช้ผ้าก๊อซทำแผล ปิดซ้ำข้างบนและติดปลาสเตอร์ยึดไว้ ใบตองอ่อนที่เหลือ สามารถเก็บไว้ใช้ต่อไปได้ โดยตัดเป็นท่อนขนาดพอใช้กับแผล ใส่ในถุงพลาสติก สามารถเก็บในตู้เย็นช่องธรรมดาอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส  ได้นาน 1 เดือน  ขณะนี้ประชาชนในพื้นที่ ให้การยอมรับวิธีการทำแผล และปิดแผลด้วยใบตองกล้วยอ่อน คาดว่า ในอนาคตควรมีการศึกษากลวิธีการรักษาตามภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านอื่นๆ เพื่อนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและสถานบริการ สืบสานภูมิปัญญาให้คงอยู่อย่างรู้ค่าต่อไป.

ภาพจากอินเทอร์เน็ตและข้อมูลจาก http://www.thairath.co.th/ 

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

เหตุผลmที่ทำไมคุณควรกิน'เชอร์รี่'




หลายๆ คนชอบกินเชอร์รี่ เพราะเชอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยหวานๆ เปรี้ยวๆ ถูกปากคุณผู้หญิงซะเหลือเกิน นอกจากรสชาติดีแล้วเชอร์รี่ยังมีคุณประโยชน์มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ไทยรัฐออนไลน์จึงนำ 10 เหตุผลที่น่าตื่นตาตื่นใจว่าทำไมคุณควรกินเชอร์รี่มากขึ้น...
1.เพิ่มพลังงานของคุณได้อย่างที่คาดไม่ถึง

การกินเชอร์รี่ช่วยเพิ่มระดับพลังงานของคุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในเชอร์รี่มีน้ำตาลจากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มอารมณ์และเพิ่มระดับพลังงานของคุณอีกด้วย

2.ช่วยให้คุณนอนหลับได้อย่างสบายมากขึ้น
หากคุณมีปัญหากับการนอนหลับ หลับยาก พลิกตัวไปมาหลายตลบ นับแกะก็แล้ว ก็ยังนอนไม่หลับ ขอบอกไว้เลยว่าการกินเชอร์รี่อย่างสม่ำเสมอช่วยคุณได้อย่างแน่นอน เชอร์รี่มีเมลาโทนิที่ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

3.ดีสำหรับดวงตาของคุณ
อีกเหตุผลที่ควรจะกินเชอร์รี่ทุกวันเพราะเชอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีสำหรับดวงตาของคุณ เชอร์รี่มีวิตามินมากมายและยังมีเบต้าแคโรทีที่ช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์ที่ดีและให้ทำให้ดวงตาของคุณมีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย
                                                              เชอร์รี่ผลไม้มหัศจรรย์
4.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
คุณรู้ไหมว่าโดยการกินเชอร์รี่เป็นประจำคุณสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งบางชนิดได้ เชอร์รี่เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพที่ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งทั้งยังช่วยในเรื่องการเกิดริ้วรอยทำให้ชะลอความแก่ได้ด้วย

5. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น
เชอร์รี่มีปริมาณเส้นใยสูงจึงช่วยปรับปรุงระบบการย่อยอาหารของคุณและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลของคุณได้อีกด้วย

6.ลดอาการปวม และบรรเทาอาการปวด
เชอร์รี่ผลไม้สีสวยที่มีแอนโทไซยานิน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน และสามารถช่วยลดอาการปวดและบวมได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยป้องกันและรักษาโรคเกาต์ อาการข้ออักเสบปวดบวมตามข้อ ได้มากถึง 37% หากรับประทานต่อเนื่องเป็นประจำ และหากคุณมีอาการปวดข้ออักเสบลองกินเชอร์รี่เข้าไปแทนการกินยาและลองสังเกตว่ามันเหมาะกับคุณหรือไม่

7.ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ
แม้ว่ากล้วยจะมีโพแทสเซียมสูงแต่คุณไม่ชอบที่จะกินมันเลย เชอร์รี่เป็นนอีกทางลือกหนึ่ง คุณสามารถรับโพแทสเซียมจากเชอร์รี่ได้เหมือนกัน โพแทสเซียมจะช่วยลดและป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ นอกจากนี้น้ำเชอร์รี่ยังอาจช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนอีกด้วย

8.ความจำดี บำรุงสมองของคุณ
หากคุณรู้สึกหลงๆ ลืมๆ เชอร์รี่สามารถช่วยให้ความจำของคุณดีขึ้น เรียกได้ว่าเชอรี่เป็นอาหารของสมองเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเมื่อสมองรู้สึกเมื่อล้า คิดอะไรไม่ได้ลองหยิบเชอร์รี่มากินเพื่อจะช่วยให้สมองของคุณดีขึ้นได้

9.ดีสำหรับหัวใจของคุณ
เชอร์รี่ถือเป็นผลไม้หรืออาหารที่ดีสำหรับหัวใจของคุณ เชอร์รี่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ยังไม่สายเกินไปที่คุณจะจะเริ่มต้นดูแลสุขภาพหัวใจของคุณให้แข็งแรงได้ด้วยเชอร์รี่

10.ช่วยลดอาการอักเสบ
หนึ่งในประโยชน์ด้านสุขภาพที่สำคัญที่สุดของเชอร์รี่คือ ช่วยลดอาการอักเสบได้เป็นอย่างดี ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับนักวิ่งและนักกีฬาที่อาจจะปวดเนื้อเมื่อยตัว ได้รับบาดเจ็บหลังจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนักๆ เช่นเดียวกับสำหรับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ ถ้าคุณกำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด ให้ลองดื่มน้ำผลไม้เชอร์รี่ วันละ 3 ครั้งจะช่วยให้คุณดีขึ้นอย่างแน่นอน

ภาพและข้อมูลจาก http://www.thairath.co.th/

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนัก ใน 1 ปี ลดถึง 62 กิโลกรัม กับชีวิตที่เปลี่ยนไป


             แชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนักจาก 130 เหลือ 69 กิโลกรัม ภายใน 1 ปี พร้อมทริค
    ดี ๆ ที่สาว ๆ ไม่ควรพลาด !


             สาว ๆ หุ่นใหญ่ไซส์บิ๊กทั้งหลายที่เคยท้อแท้เรื่องการลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน
    และเหนื่อยหน่ายกับการลดน้ำหนัก ที่ไม่ว่าจะลองวิธีไหนก็ไม่ได้ผลทั้งนั้น เราขอให้คุณ
    เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ค่ะ เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมได้นำประสบการณ์การลดน้ำหนัก
     จากคุณ Op One สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มาฝากสาว ๆ ซึ่งเธอผู้นี้เคยมีน้ำหนักตัว
    สูงถึง 130 กิโลกรัม แต่ความตั้งใจจริงและการลงมือลดน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอ จนน้ำหนัก
    ลดเหลือ 69 กิโลกรัม ภายใน 1 ปี และเรื่องราวการลดน้ำหนักที่ประสบความสำเร็จของ
    เธอในครั้งนี้สร้างความภาคภูมิใจให้เธอเป็นอย่างมาก เธอจึงอยากจะนำเคล็ดลับต่าง ๆ
    เกี่ยวกับการลดน้ำหนักที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นกำลังใจให้
    สาว ๆ มีแรงสู้จนลดหุ่นได้สำเร็จแบบเธอบ้างอะไรบ้าง ส่วนเคล็ดลับในการลดน้ำหนัก
    ที่ว่าจะมีวิธีการอย่างไร ตามมาดูกันเลยจ้า



     

              เราขอแชร์ประสบการณ์การลดน้ำหนักจากคนที่อ้วนมาก ๆ  กับชีวิตที่เปลี่ยนไปพร้อมกับน้ำหนักที่หายไป 62 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 1 ปี โดยวิธีกินอาหารแบบนับแคลอรี่ + ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นกำลังใจ และเป็นแนวทางในการลดน้ำหนักของคนอ้วนมาก ๆ แบบเรา หากพวกคุณทำได้ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปและมีความภูมิใจในตัวเองอย่างที่เราเป็นค่ะ เราทำได้ ทุกคนก็ทำได้ค่ะ อยากให้ทุกคนที่พยายามลดน้ำหนักสู้ ๆ ใช้เวลาไม่นาน แค่คุณมุ่งมั่น และตั้งใจ มันคุ้มมากกับเวลาที่เสียไปค่ะ

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก
    รูปนี้ตอนอ้วนสุด ๆ  131.1 กิโลกรัม

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก
    รูปนี้ตอนน้ำหนักลงมาเหลือประมาณ 100 กิโลกรัม

                ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ  ชื่อ วรรณ ค่ะ  อายุ 38 แล้วคะ  สูง 162 เซนติเมตร น้ำหนักตัวมากสุด131.1 กิโลกรัม ปัจจุบันน้ำหนัก 69.1 กิโลกรัม ใช้ระยะเวลาลด 1 ปีค่ะ ( 16 มิ.ย. 56 - 31 ก.ค. 57 )
             เริ่มเรื่องนะคะ ตอนเรียนมัธยมน้ำหนักตัวก็ปกติ เพราะเรามีกิจกรรมและกีฬาให้เล่นมากมาย ( เป็นเด็กชอบทำกิจกรรมค่ะ ) มาเริ่มอ้วนตอนเข้ามหาลัย ฯ สาเหตุมาจากการที่คาบระหว่างชั่วโมงเรียนห่างกันมากค่ะ เช่น เช้าเรียน 8.00 - 10.00 น. แล้วพัก มาเรียนอีกที่ เกือบ 3 โมงเย็น ช่วงนี้แหล่ะไปไหน หุหุ เดินห้าง ฯ ค่ะ หาของกินอร่อยๆ แถมตอนเรียนมหาลัย ฯ  ไม่เคยทำกิจกรรม หรือเล่นกีฬาใด ๆ เลยทุกชนิด จากน้ำหนัก 50 มันก็ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเรียนจบน้ำหนักมาแตะอยู่ที่ 90 +  คราวนี้พอเริ่มทำงานมีรายได้เป็นของตัวเอง ก็เต็มที่เลยค่ะ อยากกินอะไร กิน ๆ ที่ไหนอร่อยไปหมดค่ะ และมีพฤติกรรมการกินที่ไม่ดี เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด หิวหรือไม่หิวก็กิน กินแต่ของที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ชอบกิน ผัก ผลไม้ จนน้ำหนักขึ้นมาถึง 131.1 กิโลกรัม ตอนนี้แหละความหายนะเริ่มถามหา  โรคต่าง ๆ เริ่มมาค่ะ ความดันสูง ปวดหลัง ปวดขา  เหนื่อยง่าย ป่วยบ่อย ตอนนั้นใส่เสื้อผ้าไซส์ 4XL  กางเกงเอว 53 นิ้ว แย่แล้ว เริ่มหาเสื้อผ้าใส่ไม่ได้
     
             ทำไมเราถึงลดน้ำหนักได้ หลายคนสงสัย มีวันนึงได้มีโอกาสได้คุยกับน้องข้างบ้าน ( น้องมิว ) ระหว่างขับรถไปทำงานน้องเค้าไปด้วย  ( ต้องขอขอบคุณ น้องมิว มาก ๆ )

    น้องมิว :  พี่วรรณครับ เคยคิดจะลดความอ้วนไหมครับ 
    เรา : ก็คิดอยู่ พยายามมาหลายครั้งแล้ว ทำไม่สำเร็จอ่ะ
    น้องมิว : พี่ลองทำแบบแฟนผมสิ ควบคุมแคลลอรี่อาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละวัน
    เรา : แล้วเราจะรู้ได้ไง อาหารอะไรกี่ แคลลอรี่ แล้วต้องกินยังไง บลา ๆ
    น้องมิว :  โหลด แอพ ฯ สิครับพี่ แหม...โทรศัพท์สมัยนี้มีทุกอย่าง 
    เรา  :  ok เดี๊ยวจะลองดูนะ (  ตอบไปส่งๆ )
     
              และแล้วเหตุการณ์ที่ทำให้เราลดได้ก็มาถึง  คืนนั้นเองระหว่างที่นอนเรารู้สึกแน่นหน้าอก  หายใจไม่ออก เหมือนกำลังจะตาย บอกไม่ถูก เราตั้งใจไว้เลยว่า หากเรารอดจากคืนนี้ไปได้จะลองลดน้ำหนักอีกสักครั้งหนึ่ง พอเช้ามาเราก็เริ่มหาข้อมูลต่าง ๆ จาก Google  วิธีการคำนวน แคลลอรี่ วิธีลดน้ำหนัก วิธีการออกกำลังกายสำหรับคนอ้วน เราเริ่มจากควบคุมอาหารก่อน ชวนน้องที่ทำงานมาตีแบตเป็นเพื่อนหลังเลิกงาน แรก ๆ ก็ตีได้ 15 - 20 นาที แรก ๆ วิ่งเก็บลูกซะหน้ามืดเลยค่ะ ( ตีไปพักไป จะเป็นลมไป ) ก็เพิ่มไปเป็น ครึ่ง ชั่วโมง จนเป็น 1 ชั่วโมง ตีแบต ได้สัก 2 อาทิตย์ ว่าแต่ใครจะมาตีแบตกับเราได้ทุกวันหล่ะ ก็เลยมองหากีฬาที่สามารถเล่นคนเดียวได้ แรก ๆ ลองวิ่ง โห..แค่ 5 นาที เจ็บหัวเข่า เจ็บข้อเท้ามาก วิ่งไม่ได้เลย  เพราะเราน้ำหนักตัวยังเยอะอยู่มาก ( น้ำหนักลงมานิดหน่อย 129 กิโลกรัม )  สุดท้ายมาจบลงที่จักรยานค่ะ เราขี่หลังเลิกงานทุกวัน ๆ ละ 45 - 60 นาที ( 6.00 - 7.00 pm ) พอครบ 1 เดือน เราลองชั่งน้ำหนักดู แม่เจ้า ลดลงไป 10 กิโลกรัม  คราวนี้แหล่ะ กำลังใจมาเพียบเราก็ทำแบบเดิมไปเรื่อย ๆ น้ำหนักก็ลดไปเรื่อย ๆ จนมีคนทักมากขึ้น ๆ ไปทำอะไรมา ป่วยเหรอ...กินยาลดน้ำหนักหรือป่าว ทำไมลดเร็วจัง ถึงขนาดมีคนจำไม่ได้ เราภูมิใจมาก

             ปัจจุบันวิถีการดำรงชีวิตเปลี่ยนไปมากค่ะ เลือกกินมากขึ้น มองอาหารแล้วคิดค่ะ ว่าอันนี้เรากินเข้าไปได้อะไรจากมันบ้าง ต้องออกกำลังกายกี่ชั่วโมงถึงจะเผาผลาญหมด ติดนิสัยการออกกำลังกาย ต้องออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน ถ้าไม่ได้ออกจะอึดอัดมาก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    เป้าหมายในการลดน้ำหนัก คือ  

     1. เพื่อสุขภาพที่ดี ( กลัวป่วยตอนแก่ ) เริ่มมีปัญหาเรื่องปวดขา ปวดหลัง ป่วยบ่อย และความดันสูง

     2. ลบคำสบประมาณ " ชาตินี้ทั้งชาติก็ลดไม่ได้หรอก " พิสูจน์ให้เค้าดูว่าเราก็ทำได้นะ

     3. สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ( เมื่อก่อนไม่ค่อยกล้าไปไหน เพราะอายที่ตัวอ้วน ไม่กล้าไปเจอเพื่อน เจอผู้คน ) ปัจจุบันความมั่นใจมาเต็ม 100%

     4. หาเสื้อผ้าใส่ไม่ได้แล้วค่ะ ตอนอ้วนสุด ๆ ใส่เสื้อไซด์ 4XL กางเกงเอว 53-54 นิ้ว ( ปัจจุบัน เสื้อไซด์ L เอว 34 นิ้ว )  ไม่มีเสื้อผ้าให้เลือกต้องสั่งอย่างเดียว ราคาเท่าไหร่ก็ต้องซื้อ ( แพงมากสำหรับเสื้อผ้าคนตัวใหญ่ ราคาไม่ต่ำกว่า 500 บาท/ตัว )

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    วิธีการลดน้ำหนักของเรา คือ

     1. เลือกกิน และควบคุมอาหารโดยการนับแคลอรีในแต่ละวันที่เรากินเข้าไปค่ะ งด หวาน มัน ทอด แป้ง เน้นผัก และปลา ตัวอย่าง เช่น เช้ากับเที่ยง เราจะกินจำพวกปลานึ่ง สลัดผัก ต้มจืด ผักต้มกับน้ำพริก เกาเหลาไม่เอาลูกชิ้น ส้มตำ ลาบเห็ด กินสลับ ๆ กันไป ส่วนมือเย็นเราจะเป็นผลไม้ โยเกิร์ต หรือสลัดผัก

     2. ใช้เวลาหลังเลิกงานออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอวันละ 1 ชั่วโมง ช่วงเวลา 6 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม ( ขี่จักรยาน และวิ่ง สลับกันแล้วแต่สะดวก ) และยกเวท วันละครึ่งชั่วโมง ถึง 1 ชั่งโมง เพื่อกระชับกล้ามเนื้อ ( ออกกำลังกาย 3-4 วัน/สัปดาห์ ) เราอ้วนมากมีปัญหาเรื่องผิวหนังย้วยค่ะ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว  
     
              คาดหวังว่าปีหน้าคงได้มีโอกาสได้เห็น กล้ามท้องสักแพ็ค สองแพ็คค่ะ หุหุ จุดมุ่งหมาย ลดให้เหลือ 60 กิโลกรัม ภายในสิ้นปีนี้สู้ ๆ ไปด้วยกันนะคะ ทุก ๆ คน

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก
    รูปตอนน้ำหนัก 77 – 80 กิโลกรัม
     

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก
    รูปตอนน้ำหนัก 72 - 75 กิโลกรัม


    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก

    แชร์วิธีลดน้ำหนัก
    นี่คือรูปปัจจุบันของเรา ( 69.1 กิโลกรัม )

             เห็นแบบนี้แล้ว เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนคงฮึดกันขึ้นมาบ้างนะคะ เพียงแค่คุณมุ่งมั่น ตั้งใจและลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ เท่านี้หุ่นที่สวยเพรียวก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วจ้า ^^
      ภาพและข้อมูลจาก http://health.kapook.com/