วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สัตว์ทะเลหลายๆชนิดกำลังป่วยตาย!!!



มีรายงานจากเจ้าหน้าที่ชายฝั่งและนักสมุทรศาสตร์ ได้เก็บสถิติบันทึกว่า พบสิงโตทะเล ,
แมวน้ำ , ดาวทะเล , วาฬ และสัตว์ทะเลอีกหลายๆชนิดกำลังป่วยตาย  หลังจากสัตว์ทะเล
ในมหาสมุทรแปซิฟิกเริ่มทยอยขึ้นมาเกยตื้นที่ชายฝั่งด้านตะวันตกของสหรัฐ โดยเฉพาะ
ที่ชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนียมากผิดปกติ
 

ด้านผู้เชี่ยวชาญที่กำลังทำการศึกษาอยู่นี้ได้คาดการณ์ว่าเศษละอองที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสี
ในทะเล จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ จะเข้าสู่ชายฝั่งตะวันตก ของสหรัฐ ซึ่งหน่วยงาน
ใช้เครื่องวัดกัมมันตภาพรังสี ปรากฏว่าค่ามาตรฐานระดับรังสีสูงกว่าปกติ 5 เท่า จากระดับ
ที่ปลอดภัย โดยเหตุการณ์นี้หลังเกิดการระเบิดขึ้นใต้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะเมื่อวันที่ 31
ธ.ค.56 หลายครั้งซ้อนซึ่งเท่ากับความแรงของแผ่นดินไหวขนาด 5.1 และ 3.6 และในช่วง
เวลาที่เกิดการระเบิดทำให้มีสารกัมมันตรังสีรั่วไหลลงสู่น้ำทะเล



ทางการสหรัฐโดยโอบามากำลังเร่งสั่งซื้อเก็บโพแทสเซียมไอโอไดด์ 65mg ซึ่งกรมอนามัย
และบริการ
มนุษย์ได้มีคำสั่งซื้อ ปริมาณของโพแทสเซียมไอโอไดด์ 14 ล้านเม็ด จำนวน
700,000 
แพคเกจ ซึ่งสารดังกล่าวเป็นสารประกอบที่ช่วยปกป้องร่างกายมนุษย์จากสาร
พิษกัมมัน
ตรังสีที่เป็นผลพวงมาจากการเกิดอุบัติเหตุนิวเคลียร์ที่รุนแรง โดยจะส่งมอบ
ให้กรมอนามัย
และบริการมนุษย์ก่อนต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2014

วิกฤตอย่างต่อเนื่องที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะได้รับแจ้งอย่างกังวลว่า การจัดซื้อยา
เม็ดดังกล่าว มีเหตุมาจากภัยคุกคามที่เกิ
ดจากการชะล้างซากกัมมันตรังสีบนชายฝั่ง
ต่างๆ ของฝั่งทะเลด้านตะวันตก หรือที่มีศักยภาพ สำหรับที่จะเกิดภัยธรรมชาติ
อื่นๆ
ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสหรัฐอ
เมริกาได้




มีรายงานจากว่ารังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.56 ได้ถึงฝั่ง
ตะวันตกของสหรัฐแ
ล้ว

การคาดการณ์ว่าเศษละอองที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีในทะเล จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ฟุกุช
ิมะ จะเข้าสู่ชายฝั่งตะวันตก ของสหรัฐ ในปี 2014 ได้มาถึงแล้ว ที่ชายหาดใน
ซานฟรานซิสโก ซึ่งหน่วยงานใช้เครื่องวัดก
ัมมันตภาพรังสี ปรากฏว่าค่ามาตรฐาน
ระดับรัง
สีสูงกว่าปกติ 5 เท่า จากระดับที่ปลอดภัย

" ในวันต่อมา มือสมัครเล่นคนอื่น ๆ ที่มีเครื่องวัดกัมมันตภาพรังสีเริ่มโพสต์วิดีโอ 
ที่คล้ายกันลงออนไลน์ " วิดีโอตามข่าว ที่น่ากลัว อื่น ๆ ในเดือนที่แล้วว่า ได้แจ้งว่า
ปลาดาวและสัตว์ทะเลอื่นๆได้ถูกพบเกยตื้นตายกระจัดกระจายอย่างลึกลับไปตา
ชายฝั่งตะวันตก ซึ่งมีแนวโน้มว่าเป็นการเชื่อมโยงกับสาเหตุการรั่วไหลของรังสีจาก
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ


ในขณะกำลังตรวจสอบสาเหตุของรังสีและ หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุของ
การปล่อยรังสี ในสัปดาห์นี้ TEPCO และ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ถูกจับโกหกซ้ำแล้วซ้ำอีก 
ในความพยายามที่ จะกลบเกลื่อน วิกฤตการณ์ภัยพิบัติ Fukushima ว่าไม่รุนแรง 
ในเดือนกันยายน การปล่อยรังสีรอบโรงไฟฟ้าก็ได้ถูกยืนยันรังสีที่อ่านได้ รอบ
โรงไฟฟ้าเป็น 18 เท่าสูงกว่า รายงานก่อนหน้านี้ โดย TEPCO


ข้อมูลและภาพจากhttp://warningdisasters.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หนุ่มแพร่ ถูกแมงมุมสีน้ำตาลกัดที่หลังเท้าและขาทั้ง 2 ข้าง


หนุ่มเหยื่อแมงมุมกัดอาการยังทรง แพทย์ สั่งงดเยี่ยมพร้อมให้ยาเพิ่มอีกเท่าตัว หลังผลตรวจพบว่าเป็นพิษแมงมุมสีน้ำตาล ญาติย้ำไม่ยอมให้ตัดขาทิ้งยังเชื่ออาจมีปาฏิหาริย์ ผู้หวังดีจากทั่วสารทิศติดต่อจะนำสมุนไพรมาช่วยรักษา บางรายมั่นใจหายขาดแน่นอน ผอ.รพ.แพร่ แจงหากญาติยอมให้ตัดขาทิ้งต้องตัดพร้อมกันทีเดียวทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้บาดเจ็บน้อยลง เป็นการสกัดพิษไม่ให้ลุกลามและยืดอายุของคนไข้ ยันไม่เคยระบุว่าจะอยู่ได้อีกกี่เดือน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกำลังใจและอาการของคนไข้
กรณีนายอุทัย เวียงคำ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18 หมู่ 5 บ้านแม่พวก ต.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ถูกแมงมุมสีน้ำตาลกัดที่หลังเท้าและขาทั้ง 2 ข้าง แต่กลับไม่ไปหาหมอตั้งแต่แรก จนแผลเน่าติดเชื้อลุกลามและพิษกระจายไปทั่วร่างกาย ญาติหามส่ง รพ.สมเด็จพระยุพราชเด่นชัย ก่อนถูกส่งต่อ รพ.แพร่ อาการยังโคม่า ต้องฟอกเลือดและไตตลอด 24 ชม. ล่าสุดแพทย์ตัดสินใจจะตัดขาคนไข้ทิ้งเพื่อสกัดเชื้อไม่ให้ลุกลาม แต่ญาติไม่ยินยอมเพราะคิดว่าตัดหรือไม่ตัดขาก็มีค่าเท่ากัน เนื่องจากจะสามารถอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือนเท่านั้น
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 19 ก.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่โรงพยาบาลแพร่ เพื่อสอบถามอาการของนายอุทัย เวียงคำ อายุ 36 ปี หนุ่มเคราะห์ร้ายเหยื่อแมงมุมสีน้ำตาลกัดจนพิษลุกลามไปทั้งตัว แต่แพทย์ไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม ทั้งนี้ นายสนธิ์ เวียงคำ อายุ 38 ปี พี่ชายที่เฝ้าดูอาการของน้องชายอยู่หน้าห้องเผยว่า ตอนนี้อาการทรงตัว ส่วนการผ่าตัดขาทิ้งนั้น ญาติยังจะไม่ให้ตัด ขอดูอาการและผลพิสูจน์เป็นทางการก่อน ยังเชื่อว่าอาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับน้องชาย อีกทั้งการผ่าตัดจะต้องตัดขาทั้ง 2 ข้างออกไปเพราะมีสภาพและอาการเหมือนกัน
พี่ชายเหยื่อแมงมุมพิษเผยต่อไปว่า หลังตกเป็นข่าวครึกโครมในช่วง 2 วันที่ผ่านมา มีประชาชนผู้หวังดีหลายคนติดต่อมาว่า จะนำสมุนไพรมาให้รักษา บางคนบอกว่ารับรองหายแน่นอน บางคนอยู่กรุงเทพฯบอกว่าจะส่งสมุนไพรมาให้ แต่ตนและญาติๆคงไม่ยอมให้ใช้สมุนไพรกับน้องชายทันที ต้องนำไปให้หมอตรวจดูก่อนว่าใช้ได้หรือไม่
ต่อมา นพ.วันชัย ล้อกาญจนรัตน์ ผอ.โรงพยาบาลแพร่ แถลงความคืบหน้าการรักษาอาการของนายอุทัยที่ถูกแมงมุมกัดว่า สภาพอาการโดยทั่วไปวันนี้ยังทรงตัว แต่แพทย์ได้เพิ่มยาให้อีกเท่าตัว หลังจากที่ผลการตรวจพิสูจน์จากโรงพยาบาลศิริราชว่าเกิดจากพิษแมงมุมสีน้ำตาล และวันนี้แพทย์ลงความเห็นให้งดเยี่ยมเด็ดขาด เพื่อให้คนไข้ได้พักผ่อนมากๆ ส่วนเรื่องการผ่าตัดขานั้น เมื่อญาติมีความประสงค์จะไม่ผ่าตัดก็ต้องดำเนินการตามความประสงค์ของญาติ แต่หากจะมีการผ่าตัดจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องผ่าตัดขาทั้ง 2 ข้างออกพร้อมกัน เพื่อให้คนไข้ได้รับบาดเจ็บน้อยลงก็จะผ่าตัดทีเดียว แต่ตอนนี้ยังคงทำตามที่ญาติต้องการ
ต่อข้อถามว่า หากตัดขาทิ้งแล้วจะทำให้อาการดีขึ้นหรือหายขาดหรือไม่ ผอ.รพ.แพร่กล่าวว่า เป็นอีกทางหนึ่งที่จะสกัดพิษไม่ให้ลุกลามและจะสามารถยืดอายุได้มากกว่า แต่เมื่อญาติไม่ต้องการให้ผ่าตัด แพทย์ก็ต้องเพิ่มยาให้มากกว่าเดิมถึงเท่าตัว ส่วนจะหายหรือไม่อยู่ที่อาการและกำลังใจของคนไข้ และที่ญาติบอกว่าอาจจะอยู่ได้เพียง 1 เดือน หากตัดขาหรือไม่ตัดขาก็มีค่าเท่ากัน เรื่องนี้แพทย์ยังไม่เคยระบุว่าจะอยู่ได้ 1 เดือนหรือ 2-3 เดือน แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่กำลังใจและอาการของคนไข้
สำหรับความเคลื่อนไหวในหมู่บ้านแม่พวก ต.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ชาวบ้านยังคงช่วยกันเก็บกวาดหาตัวแมงมุมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อกำจัดทิ้งและนำส่งให้ผู้ใหญ่บ้าน ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในอาการหวาดผวากับแมงมุมพิษร้ายแรงถึงขนาดต้องช่วยกันหาทั้งในบ้านและนอกบ้าน หากมีใครพบก็รีบกำจัดทิ้งทันทีเพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดในหมู่บ้าน
.................
และเมื่อ 18 ก.ค.57 เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ตึกอำนวยการ รพ.ศิริราช   พญ.ธัญจิรา จิรนันทกาญจน์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาคลินิก ศูนย์พิษวิทยาศิริราช แถลงข่าวผลพิสูจน์ซากแมงมุม กรณีผู้ป่วยถูกแมงมุมพิษกัดที่ จ.แพร่ ว่า ศูนย์พิษฯ ได้รับการติดต่อจาก รพ.แพร่ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับผู้ป่วยที่สงสัยว่าถูกแมงมุมพิษกัดที่ขา 2 ข้าง เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ 2 หลังจากผู้ป่วยถูกแมงมุมกัด ซึ่งจากการพิจารณาพบว่า ผู้ป่วยน่าจะถูกแมงมุมกัดจริง เนื่องจากผู้ป่วยเห็นตัวแมงมุม สามารถบอกได้ว่าเป็นสีน้ำตาลแดง ระบุขนาด และได้ตีแมงมุมจนตาย ทั้งนี้ จากการพิจารณาอาการของผู้ป่วยเข้าได้กับกลุ่มอาการที่เรียกว่า “ลอกโซเซลิซึม (Loxoscelism)” ซึ่งเกิดจากแมงมุมพิษสีน้ำตาลในกลุ่มลอกโซเซเลส สปีชีส์ (Loxosceles Species) เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการปวดบริเวณรอยกัด ต่อมาผิวหนังบริเวณโดยรอบที่กัดมีการบวม เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินคล้ำ และมีถุงน้ำสีน้ำเงินออกม่วง นอกจากนี้ ยังมีอาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ เกร็เลือดต่ำ การทำงานของตับและไตผิดปกติ ความดันโลหิตต่ำ และติดเชื้อแทรกซ้อนในกระแสโลหิต จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ยาหดหลอดเลือด การฟอกไต และการผ่าตัดแผลที่ติดเชื้อ 
       
       “ อาการป่วยเช่นนี้เป็นคนละกลุ่มกับแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาล แต่อาจมีการสับสนเกี่ยวกับชื่อได้ เนื่องจากมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเช่นเดียวกัน ซึ่งอาการของผู้ป่วยที่ถูกแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาลกัดจะมีอาการปวดอย่างรุนแรง อาจมีเหงื่อไหลออกมาก ปวดเกร็งกล้ามเนื้อท้อง ปวดขา อาการจะเด่นทางระบบประสาท และแผลไม่มีการอักเสบเช่นผู้ป่วยรายนี้ ” พญ.ธัญจิรา กล่าว
       
       พญ.ธัญจิรา กล่าวอีกว่า นอกจากวินิจฉัยจากอาการของผู้ป่วยแล้ว ต้องดูลักษณะของแมงมุมที่กัดด้วย จึงบอกได้ว่าถูกแมงมุมชนิดใดกัด ซึ่งโชคดีที่ผู้ป่วยรายนี้ได้ตีแมงมุมจนตาย โดยญาติผู้ป่วยได้เก็บซากแมงมุมนำส่งศูนย์พิวิทยาศิริราช ซึ่งเราได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านแมลงและสัตว์ขาข้อคือ ผศ.ณัฐ มาลัยนวล และ รศ.พญ.สุภัทรา เตียวเจริญ ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ด้วยการดูแมงมุมด้วยตาเปล่าและกล้องจุลทรรศน์ โดยผลการตรวจเบื้องต้นพบว่า แมงมุมที่ส่งมานั้นมีทั้งตัวใหญ่และตัวเล็ก โดยแมงมุมตัวใหญ่เป็นแมมมุมที่พบทั่วไปตามบ้านและสวน ไม่มีพิษ ส่วนตัวเล็กขนาด 7 มิลลิเมตรนั้นพบว่า เป็นแมงมุมในกลุ่มแมงมุมพิษสีน้ำตาล (Family Brown Rescluse) ลักษณะเด่นของแมงมุมกลุ่มนี้คือ มีตา 3 คู่กระจายอยู่เป็นรูปตัวยู รวมเป็น 6 ตา ซึ่งต่างจากแมงมุมทั่วไปที่มี 4 คู่หรือ 8 ตา ขณะที่เขี้ยวของแมงมุมก็โค้งเข้ามาด้านใน ไม่ได้โค้งลง อย่างรก็ตาม เนื่องจากซากแมงมุมมีการเปลี่ยนสภาพ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบลักษณะเด่นของแมงมุมกลุ่มนี้ได้คือ ลายที่มีลักษณะคล้ายไวโอลินที่ลำตัว จึงต้องมีกระบวนการตรวจสอบเพิ่มเติมต่อไป ก่อนจะระบุได้ชัดเจนมากกว่านี้ ซึ่งถือว่าผู้ป่วยรายนี้เป็นรายแรกของประเทศไทยที่เข้ามารักษาจากการถูกแมงมุมชนิดนี้กัด พร้อมด้วยซากแมงมุม เพราะปกติส่วนใหญ่จะเข้ามารักษาอย่างเดียว โดยไม่มีซากแมงมุมและมักจะอธิบายลักษณะแมงมุมไม่ได้ 
       
       รศ.พญ.สุภัทรา กล่าวว่า แมงมุมพิษที่พบทั่วไปเท่าที่มีรายงานคือ แมงมุมแม่ม่ายดำ แม่ม่ายน้ำตาล และแมงมุมพิษสีน้ำตาล โดยแมงมุมแม่ม่ายดำจะมีขนาด 1 - 2 เซนติเมตร ตัวสีดำ เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะจับตัวผู้กินจึงได้ชื่อว่าแม่ม่าย ลักษณะเด่นคือมีลายนาฬิกาทรายใต้ท้อง ส่วนแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลจะมีลักษณะเช่นเดียวกับแมงมุมแม่ม่ายดำ แต่มีสีน้ำตาล โดยพิษในกลุ่มแมงมุมแม่ม่าย พิษจะส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ผิวหนังตาย มีเลือดออก มีพิษรุนแรง อาจทำให้เสียชีวิตได้ ส่วนแมงมุมสีน้ำตาล มีขนาดเล็กเช่นกันประมาณ 1 - 2 เซนติเมตร ลักษณะเด่นคือมีลายไวโอลินที่ส่วนของอก แต่พิษของแมงมุมสีน้ำตาลจะม่เป็นพิษต่อระบบประสาท แต่พิษจะทำปฏิกิริยาที่เยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เซลล์ตาย เมื่อถูกกัดมักไม่มีอาการในระยะแรกแต่หลังจากนั้น 3-8 ชั่วโมง จะเริ่มรู้สึกเจ็บ บวมแดง มีการอักเสบ เป็นผื่น แผลเริ่มมีสีดำไหม้ เป็นหนอง ขนาดแผลเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 - 2.5 เซนติเมตร หากไม่รักษา เนื้อจะตายลุกลามไปเรื่อยๆ โดยแมงมุมสีน้ำตาลไม่ใช่แมงมุมในถิ่นบ้านเรา ส่วนใหญ่อยู่แถบอเมริกากลาง เช่น เม็กซิโก
       
        นพ.สุชัย สุเทพารักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายกสมาคมพิษวิทยาคลินิก และที่ปรึกษาสถานเสาวภา กล่าวว่า สถานเสาวภามีคลินิกพิษจากสัตว์ รับปรึกษาผู้ป่วยจากงูกัด สัตว์มีพิษ สำหรับแมงมุมมีเข้ามาปรึกษาประปราย ปีละไม่ถึง 10 ราย แต่เชื่อว่าคนที่ถูกแมงมุมกัดมีมากกว่านั้น แต่ไม่ได้เข้ามาปรึกษา ทั้งนี้ แมงมุมนั้นมีพิษทั้งหมด อยู่ที่ว่ามีพิษมากหรือพิษน้อย อย่างแมงมุมทั่วไปก็สามารถกัดได้ แต่อาการจะคล้ายแมลงกัดต่อย มีอาการปวดบวมร้อน ดังนั้น เวลาถูกแมงมุมกัดจะแยกว่ามีพิษมากหรือน้อย ควรไปพบแพทย์หรือไม่ ให้สังเกตจากอาการ เพราะส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจำลักษณะแมงมุมไม่ได้ โดยหากถูกกัดแล้วให้รอดูอาการ 1 คืน หากมีอาการแค่ปวดบวมธรรมเจ็บหรือผื่นขึ้น ก็ไม่เป็นไร แต่หากอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบมาพบแพทย์ นอกจากนี้ หากถูกกัดแล้วมีอาการปวดจนทนไม่ไหว หน้ามืด อาเจียน ไข้ขึ้น ให้มาพบแพทย์ทันที ส่วนการป้องกันแมงมุมกัดนั้น พวกยาทาป้องกันอาจใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ทางที่ดีคือควรจัดบ้านให้สะอาด และไม่แหย่แมงมุมเล่น
       
       ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงอาการของผู้ป่วยรายดังกล่าว พญ.ธัญจิรา กล่าวว่า เท่าที่ทราบคือผู้ป่วยเร่มรู้สึกตัวบ้าง แต่ยังต้องใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ โดยให้ยาเพื่อให้ผู้ป่วยหลับและไม่ต้านเครื่องช่วยหายใจ ส่วนความกังวลเรื่องเสียชีวิตนั้น ยอมรับว่าผู้ป่วยรายนี้มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนมาก และติดเชื้อในกระแสเโลหิตด้วย โอกาสเสียชีวิตจึงค่อนข้างสูง แต่มิใช่เพราะพิษจากแมงมุม เพราะพิษของแมงมุมไม่ทำให้เกิดอาการหนักเช่นนี้ 
       
       นพ.สุชัย กล่าวว่า แมงมุม 1 ตัว ทำให้เสียชีวิตน้อยมาก แต่ทำให้อาการหนักได้ บางสายพันธุ์แม้พิษจะรุนแรงมากกว่างู แต่ด้วยสัดส่วนของแมงมุมแล้ว ซึ่งมีขนาดเล็ก ปริมาณพิษจึงน้อยมาก ก็ไม่ทำให้เกิดพิษรุนแรง นอกจากนี้ แมงมุมแต่ละตัวปริมาณน้ำพิษไม่เท่ากัน แม้จะเป็นแมงมุมชนิดเดียวกัน แต่กัดแต่ละครั้งก็ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการมากน้อยต่างกันได้ บางรายกัดเป็นแผล บางรายก็อาจรุนแรง
       
ภาพจาก http://www.dailynews.co.th/ ข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/ และ http://www.thairath.co.th/

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

พฤติกรรมที่ทำให้แก่เร็ว (Woman Plus)



          ก็สมัยนี้น่ะ คนส่วนหนึ่งที่หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น อันนี้ก็ดีอยู่แล้วค่ะ แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นก็เรียกว่าไม่ใส่ใจสุขภาพเอาเสียเลย มีการใช้ชีวิตแบบปล่อยไปตามมีตามเกิด แบบนี้ไม่ได้แล้วนะคะ เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของเรานี่แหละ ที่จะบอกได้เลยว่าเราจะมีอายุยืนสักแค่ไหน หรือแก่ช้าอย่างไร งั้นเรามาดูสิ่งที่เมื่อทำแล้วเราจะแก่เร็ว ! กันเถอะ



           การนอนดึก

              ก่อนอื่นเลย คือ การนอนดึก ไม่ว่าจะไปเที่ยวมา ทำงานเลิกช้า ติดซีรีย์ หรือดูฟุตบอลก็ตาม การนอนดึกนั้นทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นแล้วจะยิ่งทำให้เกิดโรคร้ายอื่น ๆ ได้อีก เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เพราะคนนอนดึกก็มักจะหิว ยิ่งง่ายต่อการทานกลางคืนค่ะ
                                     


           สูบบุหรี่และกินเหล้า

              อันนี้แน่นอนอยู่แล้วว่าทั้งสองสิ่งนี้เป็นผลเสียกับอวัยวะภายในและภายนอกของร่างกาย เพราะปอดและตับจะทำงานหนัก เป็นผลให้แก่เร็วและเป็นมะเร็งตามมา เพราะฉะนั้นเราจึงควรลด ละ และเลิกซะตั้งแต่ตอนนี้นะคะ เพื่อสุชภาพที่ดีของเรา
                                 

      
           ชอบทานแต่ไขมัน

              เพราะไขมันและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็ง ที่จะทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตได้ มิหนำซ้ำยังอ้วนอีกนะ

           มีความเครียดจัด

              เพราะหากมีความทุกข์ ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่วยในการเจริญเติบโตของมะเร็งได้อย่างดีทีเดียว นอกจากจะเป็นเรื่องของมะเร็งแล้ว ความเครียดนั้นจะบั่นทอนในทุกการกระทำของเราอีกต่างหากนะคะ มีผลไปถึงหน้าหมองคล้ำดำเสีย ไม่สดใสอีกด้วย

       
           ร่างกายขาดวิตามิน

              เพราะวิตามินต่าง ๆ จะทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งได้อย่างดี แล้วหากร่างกายขาดวิตามินเหล่านี้ ก็จะไม่มีอะไรสู้กับมันได้ เพราะฉะนั้นควรหมั่นรับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินให้เข้าสู่ร่างกายเป็นประจำ

                                                 


           ทานของร้อนจัดเกินไป

              อย่างการซดชาร้อน หรือกาแฟร้อนนั้น จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบ และเมื่ออักเสบแล้วก็มีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างนั้นแล้ว ควรหลีกเลี่ยงและควรรอให้ของร้อนแล้วนั้น อยู่ในระดับที่พออุ่นค่ะ
                                             
           กลั้นปัสสาวะ

              น้ำปัสสาวะเป็นของเสีย ยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้น มันจะทำให้กระเพาะปัสสาวะของเราสะสมสิ่งเน่าเสียเหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งได้ แล้วยังทำให้เราเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อีกด้วย

           ชอบทานรสเค็ม

              สิ่งมีชีวิตที่กินอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเต็ม เนื้อแห้ง เป็นต้น ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชอบทานเค็มให้ลดน้อยลง ก่อนที่จะสายเกินไปนะคะ

                                          
           ตากแดดบ่อยเกินไป
              แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นได้ อย่างนั้นแล้วจึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแดดที่แรงจัด หาวิธีป้องกันโดยการทาครีมกันแดด ใส่เสื้อผ้าปกคลุมก็ได้นะ

    ภาพจากอินเทอร์เนตและข้อมูลจากhttp://health.kapook.com/

7 โรคอันตราย ที่มักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย !


    แม้ว่าโรคภัยไข้เจ็บส่วนมากจะเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป ในกรณีที่ไม่รักษาสุขภาพร่างกายของตัวเองให้ดี แต่โรคหลายชนิดก็มีเงื่อนไขเฉพาะเจาะจง เช่น เกิดขึ้นได้กับเพศหญิงเท่านั้น หรือเกิดขึ้นได้กับเพศชายฝ่ายเดียว เพศหญิงไม่มีทางเป็นได้เด็ดขาด ซึ่งเว็บไซต์ Huffington Post เขาก็ได้นำผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขสุขภาพแปลก ๆ ที่ส่งผลให้เกิด 7 โรคกับเพศหญิงมากกว่าเพศชายมาเปิดเผยให้ได้ทราบโดยทั่วกันด้วย คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าว่า โรคภัยไข้เจ็บที่สาว ๆ ควรต้องระวังให้ดีนั้นมีอะไรบ้าง
     

     
     1. โรคปลอกประสาทอักเสบ หรือ โรคเอ็มเอส
                
              โรคปลอกประสาทอักเสบ หรือโรคมัลติเพิล สเคอโรซิส (Multiple sclerosis : MS) เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทส่วนกลาง เกิดขึ้นกับคนกว่า 2.1 ล้านคนทั่วโลก แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่โรคร้ายนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 ใน 3 เท่าเลยทีเดียว
                
              ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งยังระบุอีกด้วยว่า โรค MS เป็นโรคในหมู่โรคที่เกิดจากภูมิต้านทานผิดปกติ แต่ด้วยความที่ไม่สามารถระบุแอนติเจน หรือสารที่กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างจำเพาะเจาะจงได้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนจึงไม่กล้าฟันธงนักว่า โรค MS จะเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากภูมิต้านทานผิดปกติจริง ๆ
                
              อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วโรค MS จะออกอาการที่สังเกตเห็นได้ในระหว่างอายุ 20-40 ปี เริ่มจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต และสูญเสียการมองเห็น เป็นต้น ทั้งนี้ในปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาด ทำได้แค่เพียงรักษาตามอาการเท่านั้นเองค่ะ
     

     2. โรคลูปัส (SLE)

              โรคลูปัส หรือโรค SLE หรือที่รู้จักกันในนามโรคพุ่มพวง เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ภูมิคุ้มกันที่บกพร่องเหล่านี้จะเข้าไปโจมตีเนื้อเยื่อในร่างกาย ทำให้เกิดภาวะอักเสบตามข้อต่อ และอวัยวะต่าง ๆ ก่อให้เกิดความเหนื่อยล้า ข้อต่อบวม อักเสบ มือ เท้าบวมแดง ซึ่งแพทย์ก็วิจัยแล้วว่า โรคนี้มักเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 9-10 เท่า และส่วนใหญ่มักจะเกิดกับผู้หญิงในวัย 20-45 ปี

              และถึงแม้แพทย์จะยังหาสาเหตุที่แน่ชัดของโรค SLE ไม่ได้ แต่ผลการวิจัยก็แสดงแนวโน้มว่า สาเหตุของโรคอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ ฮอร์โมนเพศหญิง การตั้งครรภ์ รังสียูวี หรือสารเคมีบางชนิดที่เอื้อให้เกิดโรค SLE ในผู้หญิงก็ได้
     
     


     3. โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง

              มีผลการวิจัยจากสถาบันหนึ่งระบุว่า เพศหญิงมีความเสี่ยงเป็นโรคอ่อนเพลียเรื้อรังมากกว่าเพศชายถึง 4 เท่า ลักษณะอาการของโรคก็จะเกิดอาการอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ นอนไม่ค่อยหลับ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ระบบขับถ่ายปรวนแปร ซึ่งแพทย์ก็สันนิษฐานว่า สาเหตุที่ผู้หญิงมีแนวโน้มจะเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายอาจจะเกิดจากฮอร์โมนบางตัวที่อยู่ในร่างกายเพศหญิงนั่นเองจ้า
     

     4. โรคซึมเศร้า

              โรคซึมเศร้า จากผลการวิจัยพบว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชาย 2 เท่า ซึ่งอธิบายในเชิงชีววิทยาได้ว่า เพศหญิงเป็นเพศที่มีการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนมากกว่าเพศชาย ทั้งในช่วงที่มีประจำเดือน ระยะตั้งครรภ์ หรือแม้แต่ช่วงหลังคลอดแล้วก็ตาม ฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และส่งผลต่ออารมณ์ของพวกเธอค่อนข้างมาก 

              ทั้งนี้นักจิตวิทยายังบอกเพิ่มเติมอีกด้วยว่า โดยปกติเพศหญิงเป็นเพศที่คิดมาก ค่อนข้างเก็บรายละเอียดมากกว่าเพศชาย ลักษณะนิสัยแบบนี้จึงกระตุ้นให้เกิดความเครียดได้ง่ายขึ้น นำพาไปสู่ภาวะซึมเศร้าในที่สุดค่ะ
     

     5. โรคที่เกี่ยวข้องกับช่องท้อง

              สังเกตไหมคะว่า ผู้หญิงเราจะเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องเสียได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นประจำเดือน ซึ่งก็สอดคล้องกับการวิจัยของสถาบันวิจัยโรคสุขภาพช่องท้อง ที่เผยว่า ผู้หญิงมักเป็นโรคเกี่ยวกับช่องท้องมากกว่าผู้ชายมากถึง 60-70% 

              สาเหตุก็เกิดจากปริมาณโปรตีนในร่างกายที่ไม่สมดุล ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเพศหญิงเอง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในระหว่างที่เป็นประจำเดือน หรือในช่วงที่ตั้งครรภ์ด้วย
     



     6. โรคลำไส้แปรปรวน

              นอกจากอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องเสียแล้ว ผู้หญิงก็มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ อาหารไม่ย่อย หรือเป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง ซึ่งผลการสำรวจจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งก็เผยว่า ในแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนเข้ารับการรักษาราว 3.5 ล้านคน และ 65% ของผู้ป่วยก็มักจะเป็นเพศหญิง 

              แต่ทั้งนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ถึงสาเหตุที่โรคนี้เกิดกับผู้หญิงมากกว่าเพศชาย เพียงแต่สันนิษฐานอย่างตรงกันว่า อาจเกี่ยวข้องกับสภาวะความเครียด และฮอร์โมนที่ทำให้ผู้หญิงขาดความสม่ำเสมอในการรับประทานอาหารก็เป็นได้
     

     7. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

              ในสหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กว่า 1.9 ล้านคนต่อปี และที่น่าสังเกต คือ ผู้ป่วยโรคนี้มักจะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งกรมอนามัย และสวัสดิการด้านสุขภาพของผู้หญิง ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็อธิบายข้อสังเกตนี้ไว้ว่า เยื่อบุช่องคลอดของเพศหญิงบอบบาง และมีความอ่อนไหวกว่าผิวหนังองคชาตของเพศชาย ทำให้มีโอกาสรับเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อโรคจากการมีเพศสัมพันธ์มากกว่าผู้ชายนั่นเอง 

              แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนับว่าโชคดี ที่ยังไม่มีรายงานว่า ผู้หญิงติดเชื้อแคลมีเดีย หรือได้รับเชื้อหนองในจากผู้ชายมาก่อน และหากเพศหญิงมีปัญหาด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ก็มีแนวโน้มจะปรึกษาแพทย์ และเข้ารับการรักษามากกว่าเพศชายด้วยค่ะ
     

              และนี่ก็เป็นปัญหาด้านสุขภาพ ที่สาว ๆ ควรระวังเอาไว้ให้ดี เพราะในร่างกายของเรามีปัจจัยสนับสนุนให้เกิดโรคเหล่านี้ได้มากกว่าหนุ่ม ๆ เขาเนอะ ดังนั้นสาว ๆ ต้องหมั่นดูแลสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ

    ภาพและข้อมูลจาก http://health.kapook.com/