รักษาโรคได้และทำให้เจ็บป่วยได้ก็ มาจากการกินเหมือนกัน กินดีได้ดี กินร้ายได้ร้าย
1. กินหวาน ไม่ ได้หมายถึงห้ามเด็ดขาดเลยครับเพียงแค่ขอให้ “อ่อนหวาน” ลงเพื่อจะได้
คงสุขภาพที่ดีไว้นานๆ ทั้งอาหาร ของหวานและเครื่องดื่มครับ แค่นี้รอบพุงก็ไม่เกิดอาการ
“ปลิ้น” แล้ว
2. กินไม่เคี้ยว สังคมยุคใหม่ต้องรีบกินจึงทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาจากอาหารที่
“เคี้ยวน้อย” ขอให้ท่านที่รักยอมเสียเวลาสักนิด ตั้งใจเคี้ยวสักคำละ 10 ครั้งจนติดเป็นนิสัย
จะทำให้ได้สุขภาพดีทั้งสมองและทางเดินอาหาร
3. กินดึก การรับประทานมากกว่า 3 มื้อหรือเพิ่มมื้อพิเศษยามราตรีเข้ามาจะพาให้สุขภาพ
แย่ลงเร็วครับ เพราะร่างกายถูกดีไซน์มาให้พักผ่อนตอนกลางคืน คนที่กินดึกจะเสี่ยงต่อ
โรคอ้วน นอนไม่หลับ กรดไหลย้อนและอีกมาก การกินดึกจึงเป็นบ่อนทำลายสุขภาพ
อย่างเร็วยิ่งทางหนึ่ง
4. กินแล้วนิ่ง กินแล้วไม่ขยับเข้าสู่ภาวะจำศีลหรือนั่งแปะอยู่แต่กับเก้าอี้ทำงานหลัง
อาหารมื้อใหญ่ล้วนเป็นภัยต่อสุขภาพ อย่างร้ายแรงครับ โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง
ความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจจะถามหา ขอให้หาทางออกกำลังกายหรือขยับตัวบ้าง
สร้างให้ติดเป็นนิสัยจะดีที่สุด
5. กินอิ่มแล้วอิ่มอีก การรับประทานอาหารด้วยความ “อยาก” มากกว่า “หิว” หรือ
การกินบุฟเฟ่ต์ที่ต้องพยายามกินทรมานมากกว่าอร่อยบ่อยๆ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
โดยรวม นอกจากทำให้ร่างกายติดนิสัยการกินจุแล้วยังทำให้ได้รับแคลอรีเกินความ
ต้องการต่อวันอย่างน่าตกใจ
6. กินซ้ำ วิถีชีวิตคนทำงานมักเกิดอาการกินซ้ำได้บ่อยครับ เป็นมนุษย์กะเพราไก่
มนุษย์ข้าวไข่เจียวหรือมนุษย์บะหมี่ซอง กินเข้าไปก็ยิ่งไปซ้ำเติมสุขภาพให้ได้รับ
แต่สารอาหารซ้ำๆ ลองนึกดูว่าถ้ามีพิษก็จะได้พิษสะสมซ้ำๆ เช่นกัน
7. ปรุงก่อนกิน ท่านที่ชอบเติม เปรี้ยว เค็ม หวานฯลฯ เกิดอาการ “ติดปรุง” ขอให้
ค่อยๆ เปลี่ยนดีกว่าครับ เพราะวันหนึ่งคนเราไม่ควรได้น้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา ส่วน
น้ำปลานั้นก็ไม่น่าเกิน 3 ช้อนชาครับ ทั้งนี้คือรวมทั้งที่มีอยู่ในอาหารนั้นๆ แล้วด้วย
ดังนั้นจะเห็นว่ายิ่งปรุงเพิ่มยิ่งเสี่ยง
ทั้ง 7 ประการเป็นการกินที่ควรมีให้น้อยที่สุดหรือถ้าเลี่ยงได้ยิ่งดี เพราะอวัยวะในตัวเรา
หลายอย่างถ้าเสียไปเพราะการกินแล้ว “ซ่อมไม่ได้” และ “ไม่มีอะไหล่เปลี่ยน”
อย่างสมอง กระเพาะอาหาร ตับหรือไตครับที่ใช้ของใครก็ไม่เหมือนของตัวเอง
ภาพจากอินเทอร์เน็ตและข้อมูลจาก http://www.kruthai.info
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น