วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

10 เมนูสุขภาพรับปี 2556


ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นาชาติ แนะนำ 10 เมนูสุขภาพรับปี 2556 สไตล์อายุรวัฒน์ เผยส้มตำไก่ย่าง เมี่ยงปลาทู เขียวหวานไก่ ผัดไทย สุดยอดอาหารต้านชรา เพราะผักในเมนูดังกล่าวล้วนเป็นสุดยอดวิตามิน เช่นมะละกอช่วยล้างพิษ มะเขือเทศป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก พริกบำรุงสายตา  
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวแนะนำสุดยอดอาหารสไตล์อายุรวัฒน์ ต้านชรา ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 10 เมนู คือ

1.ส้มตำไก่ย่าง  ที่สุดของอาหารต้านชรา  ในส้มตำมีสุดยอดวิตามินอย่าง มะเขือเทศที่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและเต้านม  ส่วนมะละกอช่วย ล้างพิษให้กับลำไส้น้อย-ใหญ่  ในมะละกอยังมีน้ำย่อย ปาเปนช่วยล้างทำความสะอาดลำไส้ให้ปลอดคราบโปรตีนเกาะ ส่วนการรับประทานคู่กับไก่ย่างนั้นมีข้อดีคือทำให้ไม่ขาดโปรตีน  และที่สำคัญคือ ไม่อ้วนเท่าการกินกับข้าวเหนียวหรือกินแบบหนักแป้งด้วย


 2.แกงเขียวหวานไก่ ในน้ำแกงเขียวหวานเป็นอาหารทิพย์ที่อุดมไปด้วยวิตามิน น้ำแกงเข้มข้นหอมมันคือ ซุปวิตามินชั้นดีที่มีทั้งวิตามินเอ, ดี, อีและเคที่ละลายอยู่ในกะทิ ส่วนในเนื้อไก่มีวิตามินบีที่ช่วยบำรุงสมอง  อีกทั้งในพริกที่ใส่เป็นเครื่องแกงมี กรดแคปไซซินกับ เบต้าแคโรทีนที่ช่วยบำรุงสายตาด้วย


3.เมี่ยงปลาทู  ได้ทั้ง ซัลโฟราเฟนเป็นกลุ่มสารต้านมะเร็งจากใบคะน้าห่อเมี่ยง ถ้าให้ดีต้องหยิบ มะเขือเทศราชินีหั่นเสี้ยวใส่เข้าไปด้วยจะช่วยให้ผิวพรรณสวย  ส่วนในเนื้อปลาทูมีทั้งกรดไขมันดีและ แอสตาแซนทินเพราะวิตามินนี้โดยมากละลายในไขมัน

4.ผัดไทย มีทั้งถั่วงอกที่ถือเป็นอาหารมงคลรับปีใหม่ด้วยหมายถึงการงอกงามของสิ่งใหม่ๆ ในถั่วงอกมี วิตามินซีนอกจากนั้นถั่วและเต้าหู้ในผัดไทยยังอุดมไปด้วยวิตามินอี,แคลเซียมและสาร พฤกษฮอร์โมนที่เป็นไฟโตเอสโตรเจนป้องกันมะเร็งและลดไขมัน โดยมีข้อแม้คืออย่าหนัก เส้นมากไป

5.ข้าวหอมนิล ข้าวไทยหนึ่งในตองอูที่ดูเด่นด้วยสีม่วงเข้มเตะตา ที่อัดแน่นอยู่ในสีสวยนั่นคือสาร พฤกษเคมีที่มีพลังมากกว่าวิตามินอีกับซีรวมกัน ข้าวหอมนิลสามารถเอามาจัดเมนูคู่ปีใหม่ได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างน้ำพริกปลาทูข้าวหอมนิล หรือจะกินคู่กับไข่เจียวร้อนๆ


6.ข้าวตอกน้ำกะทิ ขนมไทยช่วงปีใหม่ที่ถูกลืมไปนาน  อยากขอให้ช่วยกันปลุกให้คืนชีพมาใหม่เพราะมีคุณค่าทางอายุรวัฒน์มาก  นับตั้งแต่ตัวข้าวตอกที่มี เส้นใยช่วยในเรื่องไขมันและน้ำตาลได้  ส่วนวิตามินข้างในนั้นก็เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์



7.ข้าวต้มมัดหรือข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้ เป็นเมนูที่อยู่ท้องและมีประโยชน์ครบเครื่องมากเพราะมีทั้ง 5 หมู่อยู่ในนั้น ส่วนวิตามินก็มีทั้งเอ,บี,ซี   นอกจากนั้นในกล้วยยังมีเส้นใยกับสารกลุ่มฟีนอลชื่อ กรดเอลลาจิกช่วยต้านมะเร็งและเนื้องอกได้ด้วย


8.ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ นอกจากข้าวเหนียวแล้วยังมีเผือก, ลำไย, ลูกเดือยและธัญพืชอื่นๆ ซึ่งถือเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ชั้นสูง ช่วยขัดล้างตั้งแต่หลอดอาหารลงมาถึงลำไส้ใหญ่  ส่วนตัวข้าวเหนียวดำเองมี วิตามินอีและ ธาตุเหล็กสูงมาก  รวมถึง ธาตุม่วงต้านร่วงโรย (OPCs)”



9.ข้าวโพดม่วง  มีทั้งวิตามินบำรุงตาอย่าง ลูทีนกับ ซีแซนทินทำได้หลายเมนู เช่น ข้าวโพดม่วงเปียกราดกะทิกิน, ข้าวโพดปิ้ง ข้าวโพดม่วงคลุก เป็นต้น



10.น้ำสมุนไพรแสนชื่นใจ  เช่น น้ำอัญชัน, กระเจี๊ยบ, น้ำย่านาง, น้ำใบบัวบก  น้ำเหล่านี้ถือเป็นน้ำวิตามินชั้นดี จัดเป็นน้ำนางเอกของแท้  เริ่มตั้งแต่อัญชันมีวิตามินสีม่วงที่ช่วยปกป้องผิวและบำรุงตับ  ส่วนน้ำกระเจี๊ยบก็มีวิตามินซีและเอช่วยบำรุงไตได้ ส่วนน้ำใบย่านางกับใบบัวบก ประกอบด้วย คลอโรฟิลล์” “กลูต้าไทโอนที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
ข้อมูลจาก http://news.mthai.com และภาพจาก อินเทอร์เน็ต

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เตือนเด็กมีพฤติกรรมเท้าคาง"ทำให้ฟันเหยิน-มีปัญหารูปหน้า-ขากรรไกรไม่เจริญเติบโต"




นสพ. มติชน รายงานข่าวเมื่อ 24  ธันวาคม 2555 ว่า ทันตแพทย์สุธา เจียรมณีโชติชัย ผู้อำนวยการ สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กล่าวถึงพฤติกรรมการเท้าคางของเด็กว่า เด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป เป็นวัยที่ฟันแท้เริ่มขึ้น การเท้าคางจะทำให้ขากรรไกรล่างไม่เจริญเติบโต เกิดปัญหา ฟันเหยิน ลักษณะคล้ายฟันม้า คือฟันบนยื่นยาวมากกว่าฟันล่าง นอกจากจะมีปัญหาเรื่องของรูปหน้า  แล้วจะมีปัญหาเรื่องการบดเคี้ยว เพราะฟันไม่สบกันพอดี อาจต้องเสียค่าจัดฟันใหม่



ทั้งนี้ ขอแนะนำการดูแลสุขภาพฟันที่ดี ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการ งด หรือ ลด การกินอาหารจุบจิบ ให้รับประมานอาหารหลักครบ 3 มื้อ  หากเป็นอาหารนอกมื้อหรือระหว่างมื้อควรจะรับประทานผลไม้สดแทน เพราะมีน้ำตาลไม่มาก ไม่ทำให้น้ำตาลติดตามซอกฟัน ซึ่งเป็นต้นเหตุฟันผุ

นอกจากนี้ควรแปรงฟันให้ทั่วถึงทั้งปาก แปรงอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือตอนเช้า และก่อนนอน แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ แนะนำใช้ไหมขัดฟัน ซึ่งสามารถทำความสะอาดซอกฟันได้ดีไม่ทำฟันห่าง ควรตรวจสุขภาพช่องปากด้วยตนเองเป็นประจำ และไปรับบริการตรวจสุขภาพฟันทุก 6 เดือน หากพบปัญหาจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที  


วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กระเพราไข่ดาว เป็นเมนูสิ้นคิดจริงเหรอ ??



มีหลายคนเรียกอาหารจานนี้ว่า "อาหารเมนูสิ้นคิด" เพราะเวลาไปกินข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งแล้ว คิดเมนูไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ก็จะนึกถึง  "ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว" เป็นอันดับต้นๆ

ทีนี้เรามาดูกันว่า ในอาหารจานนี้มีอะไรบ้างและมันมีประโยชน์อย่างไรบ้าง

           ส่วนประกอบหลัก ได้แก่ ใบกะเพรา กระเทียม พริกขี้หนู น้ำมัน เนื้อไก่ น้ำเปล่า น้ำปลา น้ำตาล พริกไทยป่น และข้าวสุก แต่บางร้านอาจจะใส่ผัก เช่น ถั่วฝักยาว หรือข้าวโพดอ่อน ลงไปด้วย
                   ขั้นตอนการทำ  เริ่มปรุงด้วย การเจียวกระเทียมพอเหลือง ใส่พริกขี้หนู เนื้อไก่ เติมน้ำ
 ผัดจนสุก ใส่ ถั่วฝักยาว หรือข้าวโพดอ่อน (ถ้าต้องการ) แล้วปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาล พริกไทยป่น แล้วใส่ใบกะเพราลงไปตอนท้าย ตักข้าวสุกใส่จาน ราดด้วยผัดกะเพราที่เพิ่งทำเสร็จ   แล้วทอดไข่ดาววางบนเป็นอันเสร็จพิธี


และคุณรู้หรือไม่ว่า...
"ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว"จานนี้มีพลังงานประมาณ 500-600 กิโลแคลอรี่



ประโยชน์ที่แท้จริงและคุณค่าทางโภชนาการ

1. ข้าว                       ให้พลังงานและความอบอุ่น
2. เนื้อไก่/หมู ไข่          ให้โปรตีนและเกลือแร่ ช่วยในการเจริญเติบโตและ    ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
                                ของร่างกาย

3. ใบกะเพรา                แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม มีแคลเซียม มีเบต้า-แคโรทีนและวิตามินซี
                                ทำหน้าที่ร่วมกัน
  เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง
4. พริก                       ให้วิตามินซี เบต้า-แคโรทีน ความเผ็ดจากสารแคปไซซินในพริกมีคุณสมบัติ
                                ต้านอนุมูลอิสระ
 
และช่วยขัดขวางสารมะเร็งไม่ให้ทำร้ายเซลล์
5. กระเทียม                 ให้สารออร์แกโนซัลเฟอร์ต่อต้านการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิด
                                ที่ก่อมะเร็งได้ 
สามารถกระตุ้นระบบทำลายสารพิษจึงต้านฤทธิ์สารก่อมะเร็งได้
6. ถั่ว                         มีเบต้า-แคโรทีน และวิตามินซี ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ และมีใยอาหารดัก
                                จับสารพิษได้

7. ข้าวโพดอ่อน            มีเส้นใยอาหาร ช่วยระบาย ป้องกันมะเร็งลำไส้
             
 เห็นคุณค่าของอาหารจานนี้แล้ว มันตรงข้ามกับคำว่า "อาหารเมนูสิ้นคิด" ไปเลย ใครที่ไม่ชอบ ไม่กินเลย น่าจะ "สิ้นคิด" เสียมากกว่านะ

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วมื้อต่อไป เที่ยงนี้ ก็สั่ง กระเพราไก่ไข่ดาวมากินก็แล้วกัน

ข้อมูลและภาพจาก  http://board.postjung.com

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พบว่า ฟองน้ำที่ใช้ล้างถ้วยชามเป็นจุดที่สกปรกที่สุดในบ้าน

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ห้องส้วมเป็นจุดที่สกปรกที่สุด แต่ ภาควิชาจุลชีววิทยา
มหาวิทยาลัยอริโซนาของสหรัฐ กลับพบว่าจริงๆแล้ว จุดที่สกปรกที่สุดในบ้านคือ
ฟองน้ำที่ใช้ล้างถ้วยชามในครัวนั่นเอง


ตามข้อมูลพบว่าในแต่ละตารางนิ้วของ ฟองน้ำล้างจานมีจำนวนแบคทีเรียอยู่ถึง 10 ล้านตัว หรือมากกว่าฝารองนั่งชักโครกถึง 200,000 เท่า และมากกว่าผ้าเช็ดจาน ที่มีแบคทีเรียราว 1 ล้านตัว ถึง 20,000 เท่า

น่ากลัวจังเลยนะ ก็ต้องล้างฟองน้ำให้สะอาดและและบีบให้แห้งที่สุด
แล้วก็วางหรือแขวนไว้ให้แห้งก่อนใช้ครั้งต่อไปน่าจะดีกว่านะ

เตือน....อันตรายของการรับประทานยาร่วมกับ"น้ำเกรพฟรุ๊ต" ที่อาจส่งผลให้ตายได้

สถาบันวิจัยสุขภาพลอว์สันจากมหาวิทยาลัยเวสต์เทิร์น ออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ออกมาบอกว่า การรับประทานหรือดื่มน้ำ"เกรพฟรุ๊ต"อาจส่งผลให้เกิดอาการโอเวอร์โดสหรือการเพิ่มระดับของยาในเลือด เนื่องจากน้ำดังกล่าวจะมีฤทธิ์ทำให้ยาไม่แตกตัวในลำไส้และตับ 

โดยประเภทของยาที่มีผลข้างเคียงในระดับอันตราย อาทิ ยาลดความดันเลือดสูง ยามะเร็ง และยาลดระดับคอเลสเตอรอล หรือยาที่ใช้เพื่อกดระบบภูมิต้านทาน หลังจากเข้ารับการปลูกถ่ายอวัยวะ

โดยมีรายงานว่า ผู้ป่วยที่ดื่มน้ำเกรพฟรุ๊ตหนึ่งแก้ว พร้อมกับยา felodipine ซึ่งเป็นหนึ่งในยาลดความดัน ส่งผลให้มีระดับยาสูงสุดในพลาสมาสูงกว่าผู้ป่วยที่ดื่มน้ำเปล่าถึง 3 เท่า

ขณะที่ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับประเภทของยา ซึ่งรวมถึงอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไตเสียหายเฉียบพลัน หรือเสียชีวิต

การทานยาหนึ่งเม็ดร่วมกับน้ำเกรพฟรุ๊ตหนึ่งแก้ว อาจส่งผลให้เกิดอาการคล้ายการทานยา 5 หรือ 10 เม็ดพร้อมกันพร้อมน้ำหนึ่งแก้ว และคนส่วนใหญ่มักไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากการขาดการให้ความเข้าใจต่อผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีอาการปกติ อาจมีอาการถึงขึ้นเสียชีวิต เพียงเพราะกินยาและน้ำดังกล่าวพร้อมกัน  (อ่านรายระเอียด)

 ใช่เลย... เราก็พบบ่อย   เพื่อนเราบางคนชอบกินยากับน้ำผลไม้บ้าง  กาแฟบ้าง ชาบ้าง  นมบ้าง
เห็นหมอบอกว่า น้ำบางชนิดก็เพิ่มประสิทธิภาพยาเป็นหลายเท่า... เกินความต้องการของร่างกาย
แต่บางชนิดก็ขัดขวางการดูดซึม ทำให้ยาไม่ออกฤทธ์รักษา หรือมีผลทางการรักษาน้อย 
เอ้า ...ใครที่มีพฤติกรรมแบบนี้ก็เลิกซะนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน......  



เสียชีวิตเพราะน้ำหนักตัว


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าวิลมา โซลเตสซ์ มีน้ำหนักตัวประมาณ 192 ก.ก. มีขาเพียงข้างเดียว ต้องนั่งรถเข็นและมีโรคประจำตัว  ถูกปฏิเสธจาก 3 สายการบิน ไม่ให้ขึ้นเครื่องกลับบ้านเพราะอ้วนเกินไป เธอจึงไม่สามารถกลับไปฟอกไตได้ทันเวลาและเสียชีวิตในเวลาต่อมา (รายละเอียด)


พวกเราก็คงต้องระมัดระวังตัวเองอย่าให้อ้วนมากนัก เพราะปัญหาที่ตามมากับความอ้วน
นี่มีมากมาย ไปไหนมาไหนก็ลำบากไม่สะดวก  คนใกล้ตัวบางคนก็รู้สึกอาย  บางรายถึงกับ
ขอหย่าก็มี  แต่งตัวก็ยาก..ดูไม่สวยงาม โรคภัยไข้เจ็บก็พร้อมใจกันมาเยี่ยมเยือนมากมาย

เฮ้อ...กลุ้มใจ  เพราะ...ข้าพเจ้าก็เริ่มมีปัญหากับน้ำหนักแล้วเหมือนกัน  วันก่อนไปพบหมอ
ก็ได้รับเทศน์มากัณฑ์ใหญ่เลย  เลยบอกหมอว่าจะพยายามลดเจ้าสิ่งที่มันสูงๆ ไม่ว่าจะเป็น
น้ำตาล  คลอเลสเตอรอล  แล้วก็น้ำหนักด้วย ลงให้ได้  ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่านะเนี่ย





วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

วิจัยพบ"ตำลึงทอง" รักษากระดูกพรุนได้


จาก มติชนออนไลน์รายงานว่า ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้าโครงการสาธิตการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร โรงพยาบาล (รพ.) เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เปิดเผยว่า สมุนไพรตำลึงทอง จัดเป็นสมุนไพรที่คนไทยรู้จักดี แต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น เพชรสังฆาต ร้อยข้อ ต่อกระดูก ฯลฯ มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย บำรุงกระดูก รักษากระดูกหัก ข้อเสื่อม ปวดข้อ ปวดเข่า ริดสีดวงทวาร ฯลฯ จากการเก็บข้อมูลกับหมอยาพื้นบ้านและประชาชนทั่วไป พบว่าในอดีตเคยมีน้ำเพชรสังฆาตขายในลักษณะเดียวกับน้ำเก๊กฮวย เพื่อใช้ในการบำรุงสุขภาพ แก้หวัด แก้ไอ และแก้ร้อนใน ปัจจุบันโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หลายแห่งใช้เพชรสังฆาตสำหรับบรรเทาอาการริดสีดวงทวารทดแทนยาแผนปัจจุบัน ขณะที่ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ใช้เพชรสังฆาตแทนยาแผนปัจจุบันสำหรับริดสีดวงทวารมานานถึง 11 ปี เนื่องจากมีราคาถูกกว่า 3-5 เท่า 


ภญ.สุภาภรณ์กล่าวอีกว่า สำหรับตลาดโลกนั้น เพชรสังฆาตได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีงานวิจัยรองรับมากมาย อาทิ การต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการเผาผลาญพลังงาน เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และเพิ่มมวลกระดูก โดยเฉพาะการเพิ่มมวลกระดูกนั้น เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเพราะปัจจุบันพบว่า หญิงไทยอายุ 40 ปี มากกว่าร้อยละ 20 มีกระดูกพรุนสันหลังส่วนเอว ขณะที่ผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 30 เตี้ยลงเพราะกระดูกสันหลังทรุดตัวอันเนื่องมาจากกระดูกพรุน ทั้งนี้ ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก พบว่าในอีก 40 ปี มีแนวโน้มว่าจะมีผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นเป็น 6.3 ล้านคน ในส่วนของการรักษาพยาบาลพบว่า ในสถานพยาบาลของรัฐมีการจ่ายยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุนสูงมากเป็นอันดับ 2 และส่วนมากเป็นยานำเข้า หากมีการศึกษาวิจัยต่อยอดความรู้จากภูมิปัญญาไทย โดยการใช้เพชรสังฆาตเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกจะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศได้

น่าสนใจมากสำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายนะคะ อย่างไรก็พยายามหามากิินได้นะคะ หรือหาต้นมาปลูกก็ได้ ปลูกเป็นง่ายมากค่ะ แค่เด็ดข้อแก่ๆ มาจิ้มลงดินแล้วรดน้ำบ้างไม่รดบ้างก็เห็นเจริญงอกงามได้ดีมากค่ะ  นับเป็นพืชที่ปลูกงา่ยและมีประโยชน์กับคุณผู้หญิงมากจริงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิจัยพบน้ำมันรำข้าว สารบำรุงเส้นผมเพียบ

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จับมือนาโนเทค
ต่อยอดผลิต"โลชั่นน้ำมันรำข้าวนาโนพาร์ทิเคิล" สรรพคุณบำรุงเส้นผม แก้ผมร่วง
ชะลอการเป็นหงอก


ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือนาโนเทค สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับโรงพยาบาล (รพ.)
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร แถลงเปิดตัวผลิตภัณฑ์โลชั่นน้ำมันรำข้าวโนพาร์ทิเคิล ซึ่งเป็น 1
ในผลงานที่ทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมกันทำวิจัย 


ภญ.วัจนา ตั้งความเพียร ตัวแทนจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เปิดเผยว่า
ผลิตภัณฑ์โลชั่นน้ำมันรำข้าวนาโนพาร์ทิเคิลถือเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของ รพ.อภัยภูบศร
ที่ผลิตเป็นนาโนเทคโนโลยี โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อรอขึ้นทะเบียน และเตรียมจะเปิดตัวในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ
ในเดือนกันยายนนี้ 


ภญ.วัจ นากล่าวอีกว่า ผลิตภัณฑ์นี้มีส่วนประกอบของน้ำมันรำข้าว ใบบัวบก และน้ำมันงา
ซึ่งในน้ำมันรำข้าวจะมีสารออกฤทธิ์สำคัญ คือ แกรมมาออไรซานอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
และมีกรดไลโนอิก รวมทั้งไขมันต่างๆ ที่ช่วยบำรุงเส้นผม ส่วนใบบัวบกช่วยบำรุงรักษาหนังศีรษะ
และน้ำมันงาช่วยบำรุงเส้นผม โดยผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะช่วยทำให้ชะลอการหงอกของเส้นผม
ทำให้รากผมแข็งแรง บำรุงผม เส้นผมหลุดร่วงน้อยลง ทั้งนี้ผู้ใช้จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์เป็นเวลา 8 สัปดาห์ติดต่อกันจึงจะเห็นผล


ด้าน ดร.อภิรดา สุคนธ์พันธุ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการนาโนเวชสำอาง หน่วยวิจัยกลางนาโนเทค
สวทช. กล่าวว่า จากผลการทดสอบนาโนเซรั่ม พบว่าสามารถกระตุ้นการทดสอบจากเซลล์
รากผมได้ โดยช่วยในการออกฤทธิ์และซึมผ่านเข้าเซลล์ผมได้ดีขึ้น หลังจากพัฒนาสูตรแล้ว
นักวิจัยได้นำไปทดสอบกับอาสาสมัคร จำนวน 200 คน เป็นเวลา 24 ชั่วโมง พบว่าไม่มี
อาสาสมัครคนใดมีอาการแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ จากนั้นจึงคัดเลือกอาสาสมัครที่มีสุขภาพผมดี
อีกจำนวน 30 คนเพื่อทดลองผลิตภัณฑ์ต่อ โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ผลิตภัณฑ์ และกลุ่มที่ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ และพบว่ากลุ่มที่ใช้ผลิตภัณฑ์มีเส้นผมแข็งแรงกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์
ถึงร้อยละ 17 หลังจากทดลองดึงเส้นผมจากเครื่องดึงผม 


"สำหรับ กลุ่มเป้าหมายที่เหมาะจะใช้ผลิตภัณฑ์นี้คือ กลุ่มคนที่ผมร่วงง่าย รากผมไม่แข็งแรง
 คนที่มีศีรษะแห้ง หรือคันหนังศีรษะบ่อยๆ และผู้ที่มีผมขาว หรือผู้ที่ทำผม ดัด ทำสีผมบ่อยๆ
ซึ่งผมจะต้องการการบำรุงรักษาเป็นพิเศษ" ดร.อภิรดากล่าว

เตือน.....วัยรุ่นกินอาหารเสริมมากเสี่ยงทำให้ฉลาดน้อยลง






ประชาชาติธุรกิจออนไลน์รายงานว่าอินโฟเควสท์ กล่าวว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ 
เตือนวัยรุ่นยุคใหม่นิยม กินอาหารเสริมแทนข้าว หวั่นทำให้ไอคิวต่ำ เป็นโรคขาดสารอาหารในยุคอาหารเสริมมาแรง ทั้งยาเสริมความขาว เพิ่มความสวย ช่วยให้รูปร่างผอมเพรียวกระชับ
เหมือนนางแบบ จนกลายเป็นแฟชั่นไม่พึงประสงค์ที่บรรดาวัยรุ่นติดกันงอมแงม เพราะหาซื้อง่าย ราคาถูก จนบางรายถึงขั้นกินวิตามิน และอาหารเสริมเหล่านี้แทนข้าวด้วยเข้าใจผิดว่า
ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีสารอาหารครบถ้วน แถมยังช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคอีกด้วย


นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและที่ปรึกษาสำนักโภชนาการ กรมอนามัย
กระทรวงสาธารณสุข รู้สึกเป็นห่วงเทรนด์อาหารเสริมของวัยรุ่นในปัจจุบันจึงได้ออกมาเตือนว่า
ความเชื่อดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผิด โดยเฉพาะในวัยที่กำลังเจริญเติบโตอย่างวัยรุ่นจำเป็น
ต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน อีกทั้งการกินอาหารเสริม
มากเกินไปอาจส่งผลให้ไอคิวต่ำลงได้อีกด้วย

"วัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโต จำเป็นต้องได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนและเพียงพอ
ซึ่งการหันไปกินอาหารเสริม เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารบางตัว ร่างกายได้รับสารอาหาร
ไม่ครบถ้วน มีโอกาสที่จะเป็นโรคขาดสารอาหาร อาจจะหวนกลับมาเป็นปัญหาใหม่ของ
กลุ่มวัยรุ่นไทยก็ได้ จากการกินอาหารเสริมแทนอาหารมื้อหลัก ซึ่งจะส่งผลให้มีร่างกาย
อ่อนแอ เพราะมีภูมิต้านทานโรคต่ำ มีอาการเซื่องซึม ไม่กระตือรือร้น และจะมีผลต่อ
เซลล์สมองที่ได้รับสารอาหารไม่เต็มที่ และการเจริญเติบโตของเซลล์สมองไม่เป็น
ไปตามปกติ ส่งผลให้การเรียนรู้ และสติปัญญาด้อยกว่าที่ควรจะเป็น ไอคิวต่ำลง
ซึ่งมีผลต่อการเรียนหนังสือและความจำด้วย" ผู้เชี่ยวชาญฯ กล่าว


วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โรคมือเท้าปาก ระบาดจากคนสู่คน


โรคมือเท้าปาก  กลายเป็นข่าวใหญ่ครึกโครมที่กำลังสร้างความหวาดวิตกให้แก่ทุกคนในขณะนี้
นับเป็น
โรคระบาดที่พบบ่อยในเด็กโดยเฉพาะเด็กวัยเรียน ซึ่งจะมีการระบาดในช่วงฤดูฝน สาเหตุนั้น
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (
enterovirus) ประกอบด้วยหลายสายพันธุ์ย่อย
ที่พบบ่อยได้แก่ สายพันธุ์คอกซากี (
coxackie virus) เอ16, เอ5, เอ9, เอ10, เอ1 และบี3 สายพันธุ์เอนเทอโรไวรัส 71 (human enterovirus 71, HEV71) และ สายพันธุ์ไวรัสเริม (herpes simplex viruses, HSV) 

โรคมือเท้าปาก สามารถติดต่อจาก "คนสู่คน" ด้วยการสัมผัสโดยตรงกับเชื้อไวรัสที่ออกมาทางน้ำลาย น้ำมูก
หรืออุจจาระของผู้ป่วย นอกจากนี้การไอจามรดกันสามารถแพร่กระจายเชื้อได้เช่นกัน
 
อาการของโรคมือเท้าปากในระยะเริ่มแรก คือ มีไข้ต่ำ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร ปวดท้อง
 เจ็บภายในช่องปาก ต่อมาจะเริ่มมีแผลในปาก และผิวหนังตามลำดับ ส่วนมากจะพบบริเวณมือและเท้า
บางครั้งอาจพบบริเวณก้นเด็กได้ ลักษณะเฉพาะของแผลในช่องปาก คือบริเวณฐานของแผล
เป็นสีเหลืองและล้อมรอบด้วยวงสีแดง ส่วนมากเกิดที่บริเวณริมฝีปาก หรือเยื่อบุช่องปาก
แต่บางครั้งแผลอาจเกิดขึ้นบริเวณลิ้น เพดานปาก ลิ้นไก่ ทอนซิล หรือเหงือกได้ โรคนี้มักไม่พบผื่น
บริเวณรอบริมฝีปาก แผลในช่องปากจะมีอาการเจ็บมาก ในเด็กอายุต่ำกว่า
5 ปีจะมีอาการป่วยได้บ่อยที่สุด

การดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น ต้องทำอย่างไรบ้าง?
                 ดูแลรักษาตามอาการ เช่น การเช็ดตัวลดไข้ การให้ยาลดไข้ การให้ยาตามอาการ เช่น
ยาชาป้ายแผลในปาก ประเมินภาวะร่างกายขาดน้ำ ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยเด็ก การประเมินว่า
ร่างกายขาดน้ำหรือไม่ สามารถประเมินได้จากอัตราการเต้นของชีพจร ความยืดหยุ่นของผิวหนัง
ความแห้งของตา ปริมาณน้ำตาขณะที่เด็กร้องไห้ ความแห้งของเยื่อบุช่องปาก รวมถึงประเมิน
จากปริมาณและความถี่ของปัสสาวะ

สังเกตอาการแทรกซ้อน
                การติดเชื้อที่ผิวหนัง พบได้บ่อยที่สุด เกิดภาวะขาดน้ำ เนื่องจากดื่มน้อยลงจากการ
เจ็บแผลในช่องปาก ส่วนน้อยอาจเกิดอาการแทรกซ้อนของระบบประสาท และระบบไหลเวียนโลหิต
หากบุตรหลานมีอาการป่วย ควรทำอย่างไร
? ควรแยกเด็กป่วยเพื่อป้องกันเชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่น
ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ และรักษาตัวที่บ้านอย่างน้อย
5-7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ
                 ระหว่างนี้ควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น แต่หากเด็กมีอาการแทรกซ้อน เช่น ไข้สูง
 ซึม อาเจียน หอบ ต้องรีบพากลับไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลทันที ไม่ควรพาเด็กไปสถานที่แออัด
เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ ตลาด และห้างสรรพสินค้า ควรให้เด็กอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก
ควรใช้ผ้าปิดจมูกปากขณะไอจาม และระมัดระวังการไอจามรดกัน ผู้ดูแลเด็กต้องหมั่นล้างมือให้สะอาด
ทุกครั้งหลังจากสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของเด็กที่ป่วย

หากมีเด็กป่วยจำนวนมากในโรงเรียน หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรทำอย่างไร ?
                หากพบการระบาดของโรคมือเท้าปาก หรือมีผู้ป่วยติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 อยู่ภายใน
โรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก แนะนำให้ปิดชั้นเรียนที่มีเด็กป่วยมากกว่า
2 คน หากมีการป่วยกระจาย
ในหลายชั้นเรียนแนะนำให้ปิดโรงเรียนเป็นเวลา
5 วัน พร้อมทำความสะอาดอุปกรณ์รับประทาน
อาหาร ของเล่นเด็ก ห้องน้ำ สระว่ายน้ำ และให้มั่นใจว่าน้ำมีระดับคลอรีนที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน

               ทำความสะอาดสถานที่เพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณห้องน้ำ สระว่ายน้ำ
 โรงครัว โรงอาหาร บริเวณที่เล่นของเด็ก สนามเด็กเล่น โดยใช้สารละลายเจือจางของน้ำยา
ฟอกขาวผสมในอัตราส่วน
20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1 ลิตร หรือใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ใช้ตาม
บ้านเรือน แล้วเช็ดด้วยน้ำสะอาด ทำความสะอาดของเล่นและเครื่องใช้ของเด็กด้วยการซักล้าง
แล้วผึ่งแดดให้แห้ง ไม่ควรใช้เครื่องปรับอากาศ แต่แนะนำให้ระบายอากาศโดยการเปิดประตู
หน้าต่าง ผ้าม่าน ให้แสงแดดส่องได้ทั่วถึง ถ้าพบอาการดังที่กล่าวมาขั้นต้นควรรีบพาผู้ป่วยไป
พบแพทย์โดยด่วน เพื่อเป็นการร่วมกันยับยั้งการแพร่ระบาดของ
โรคมือเท้าปาก 
............................................................
(
โรคมือเท้าปาก มหันตภัยร้ายจากคนสู่คน : โดย...ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ   เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ )



วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หญิงเป็นมะเร็งเกือบตายเพราะรอจนอายุ 65 เพื่อใช้สิทธิประกันสุขภาพ


           ข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าสำนักข่าวรอยเตอร์กล่าวว่า คณะแพทย์ใน
รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดก้อนเนื้อมะเร็งน้ำหนัก
51 ปอนด์ (23 กิโลกรัม) ออกจากร่างของสตรีผู้หนึ่งซึ่งขอเลื่อนการผ่าตัด
มานานกว่า
1 เดือน เพื่อจะได้สิทธิ์ประกันสุขภาพผู้สูงอายุ 
       

       เธอเป็นผู้หญิงร่างผอมบาง แต่ท้องมีขนาดโตมาก ดูเหมือนคนท้องลูกแฝดสาม
ดร.เดวิด ดูปรี หัวหน้าคณะแพทย์ผู้ผ่าตัดให้กับ เอเวอลีน วัย 65 ปี ที่ศูนย์พยาบาลริเวอร์วิว
 เมืองเรดแบงก์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ระบุ

       
       ก่อนจะมาโรงพยาบาลประมาณ 6-8 สัปดาห์ เอเวอลีนรู้สึกเจ็บภายในช่องท้อง
และน้ำหนักตัวปกติ
54.5 กิโลกรัมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

       
       ดูปรีเปิดเผยว่า คนไข้รายนี้มาพบแพทย์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน หลังอายุครบ 65 ปี
ได้เพียง
4 วัน ซึ่งทำให้เธอมีสิทธิ์ใช้ประกันสุขภาพผู้สูงอายุ

       
       “ที่เธอไม่ยอมมาพบแพทย์ก่อนหน้านี้เพราะยังไม่มีประกันแพทย์ระบุ
       
       น้ำหนักของเอเวอลีนพุ่งพรวดถึง 77 กิโลกรัม ขาบวมเพราะเส้นเลือดขอด และร่างกาย
สูญเสียน้ำไปมาก จากการสแกนพบก้อนมะเร็งขนาดใหญ่กดทับเส้นเลือด
inferior vena cava
ที่นำเลือดกลับสู่หัวใจ ซึ่งอยู่ในขั้นเสี่ยงต่อการเสียชีวิต

       
       สุขภาพของเอเวอลีนอ่อนแอเกินกว่าจะผ่าตัดได้ทันที ดูปรีจึงนัดผ่าตัดในวันที่ 11 มิถุนายน
 เพื่อให้เธอปรับสมดุลน้ำในร่างกาย และควบคุมความดันโลหิตให้ปกติเสียก่อน

       
       อย่างไรก็ตาม เอเวอลีนเกิดอาการหายใจไม่ออกในเย็นวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน
คณะแพทย์จึงตัดสินใจทำการผ่าตัดทันที

       
       หลังผ่าช่องท้องออกดู ดูปรีและทีมแพทย์พบก้อนเนื้อมะเร็งซึ่งเกิดจากเนื้อเยื่อไขมัน
รอบๆลำไส้แผ่คลุมอวัยวะภายในหลายจุด จนแพทย์ต้องใช้เวลาถึง
5 ชั่วโมงค่อยๆ
ตัดเนื้อร้ายออก 
ทีละมิลลิเมตร  ” และก้อนมะเร็งที่พบนั้นมีน้ำหนักถึง 51 ปอนด์ หรือ
23 กิโลกรัม
 
       
       
    และเอเวอลีนยังคงรักษาตัวอยู่ที่ศูนย์พักฟื้น และปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ
       
       แม้จะตัดเนื้อร้ายออกแล้ว แต่คุณป้ารายนี้ยังต้องอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
ด้านเนื้องอกต่อไปอีก เนื่องจากการผ่าตัดอาจไม่ได้กำจัดเซลล์มะเร็งออกไปทั้งหมด
และอาจต้องเข้ารับการฉายรังสีหรือเคมีบำบัดร่วมด้วย


         น่ากลัวจัง และทำให้ได้รับความรู้อีกอย่างนึงว่า คนธรรมดาในสหรัฐอเมริกา
ไม่มีบัตรทอง
รักษาทุกโรคเหมือน
คนไทยนะ ต้องรอให้อายุ 65  ปี ก่อนค่อยใช้สิทธิประกันสุขภาพผู้สูงอายุ หรือมิฉะนั้นก็ทำประกันสุขภาพหรือประกันชีวิตซะดีๆ
มิฉะนั้นจะมีชิวิตที่น่าสงสาร
กว่าคนไทยมาก..ถึงมากที่สุด