วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

7 พฤติกรรมการกินยอดแย่ ที่พาแก่เร็ว

สุขภาพ จะดีหรือไม่  อยู่ที่ “ปาก” ของเราเป็นหลัก ด้วยการกินนี่เองที่ทำให้เกิดปาฏิหาริย์
รักษาโรคได้และทำให้เจ็บป่วยได้ก็ มาจากการกินเหมือนกัน กินดีได้ดี กินร้ายได้ร้าย 

ซึ่งการกินที่ควรเลี่ยงให้น้อยที่สุดหรือปลอดไปเลยมีอยู่ 7 ประการดังนี้

                            
1. กินหวาน ไม่ ได้หมายถึงห้ามเด็ดขาดเลยครับเพียงแค่ขอให้ “อ่อนหวาน” ลงเพื่อจะได้
คงสุขภาพที่ดีไว้นานๆ ทั้งอาหาร ของหวานและเครื่องดื่มครับ แค่นี้รอบพุงก็ไม่เกิดอาการ
 “ปลิ้น” แล้ว



2. กินไม่เคี้ยว สังคมยุคใหม่ต้องรีบกินจึงทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาจากอาหารที่ 
“เคี้ยวน้อย” ขอให้ท่านที่รักยอมเสียเวลาสักนิด ตั้งใจเคี้ยวสักคำละ 10 ครั้งจนติดเป็นนิสัย
จะทำให้ได้สุขภาพดีทั้งสมองและทางเดินอาหาร



3. กินดึก การรับประทานมากกว่า 3 มื้อหรือเพิ่มมื้อพิเศษยามราตรีเข้ามาจะพาให้สุขภาพ 
แย่ลงเร็วครับ เพราะร่างกายถูกดีไซน์มาให้พักผ่อนตอนกลางคืน คนที่กินดึกจะเสี่ยงต่อ
โรคอ้วน นอนไม่หลับ กรดไหลย้อนและอีกมาก การกินดึกจึงเป็นบ่อนทำลายสุขภาพ
อย่างเร็วยิ่งทางหนึ่ง



4. กินแล้วนิ่ง กินแล้วไม่ขยับเข้าสู่ภาวะจำศีลหรือนั่งแปะอยู่แต่กับเก้าอี้ทำงานหลัง
อาหารมื้อใหญ่ล้วนเป็นภัยต่อสุขภาพ อย่างร้ายแรงครับ โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง 
ความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจจะถามหา ขอให้หาทางออกกำลังกายหรือขยับตัวบ้าง
สร้างให้ติดเป็นนิสัยจะดีที่สุด


5. กินอิ่มแล้วอิ่มอีก การรับประทานอาหารด้วยความ “อยาก” มากกว่า “หิว” หรือ
การกินบุฟเฟ่ต์ที่ต้องพยายามกินทรมานมากกว่าอร่อยบ่อยๆ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 
โดยรวม นอกจากทำให้ร่างกายติดนิสัยการกินจุแล้วยังทำให้ได้รับแคลอรีเกินความ
ต้องการต่อวันอย่างน่าตกใจ



6. กินซ้ำ วิถีชีวิตคนทำงานมักเกิดอาการกินซ้ำได้บ่อยครับ เป็นมนุษย์กะเพราไก่ 
มนุษย์ข้าวไข่เจียวหรือมนุษย์บะหมี่ซอง กินเข้าไปก็ยิ่งไปซ้ำเติมสุขภาพให้ได้รับ
แต่สารอาหารซ้ำๆ ลองนึกดูว่าถ้ามีพิษก็จะได้พิษสะสมซ้ำๆ เช่นกัน




7. ปรุงก่อนกิน ท่านที่ชอบเติม เปรี้ยว เค็ม หวานฯลฯ เกิดอาการ “ติดปรุง” ขอให้
ค่อยๆ เปลี่ยนดีกว่าครับ เพราะวันหนึ่งคนเราไม่ควรได้น้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา ส่วน
น้ำปลานั้นก็ไม่น่าเกิน 3 ช้อนชาครับ ทั้งนี้คือรวมทั้งที่มีอยู่ในอาหารนั้นๆ แล้วด้วย 
ดังนั้นจะเห็นว่ายิ่งปรุงเพิ่มยิ่งเสี่ยง

ทั้ง 7 ประการเป็นการกินที่ควรมีให้น้อยที่สุดหรือถ้าเลี่ยงได้ยิ่งดี เพราะอวัยวะในตัวเรา
หลายอย่างถ้าเสียไปเพราะการกินแล้ว “ซ่อมไม่ได้” และ “ไม่มีอะไหล่เปลี่ยน” 
อย่างสมอง กระเพาะอาหาร ตับหรือไตครับที่ใช้ของใครก็ไม่เหมือนของตัวเอง

ภาพจากอินเทอร์เน็ตและข้อมูลจาก http://www.kruthai.info

13 อาการที่เป็นสัญญาณก่อโรคมะเร็ง

ร่างกายเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากไม่หมั่นสังเกต

 คุณอาจไม่รู้ว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแข็งแรงขึ้น หรือย่ำแย่ลงสัญญาณเตือนต่อไปนี้
อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณหันมาทบทวน และปรับปรุงตัวเองก่อนที่ปัญหาเล็กๆ จะลุกลาม
กลายเป็นเรื่องใหญ่ 13 อาการสัญญาณก่อโรคมะเร็งควรรีไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังนี้
 
1. หายใจมีเสียงหวีดหรือหายใจไม่ทัน
 หนึ่งในอาการแรกของโรคมะเร็งปอดที่ผู้ป่วยนึกออกเมื่อมองย้อนกลับไปดูก็คืออาการหายใจไม่ทัน
 
2. ไอเรื้อรังหรือเจ็บหน้าอก มะเร็งหลายชนิ
 รวมถึงมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งปอดอาจทำให้มีอาการคล้ายกับไอเรื้อรังหรือหลอดลม
อักเสบได้ แต่การไอของโรคมะเร็งจะมีความแตกต่างคือเป็นเรื้อรังหรือเป็นๆ หายๆ นอกจากนี้
ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดบางรายยังมีอาการปวดหน้าอกที่ลามไปยังไหล่หรือแขนอีกด้วย
 
3. มีไข้หรือติดเชื้อบ่อย
 อาการนี้อาจเป็นอาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดขาว
ที่ผิดปกติและจะไปเบียดเบียนเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติ ทำให้ร่างกายขาดความสามารถในการ
ต่อสู้กับเชื้อโรค แพทย์มักตรวจพบมะเร็งเม็ดเลือดขาวในผู้ใหญ่ที่ป่วยและมาพบแพทย์ซ้ำๆ 
ด้วยอาการไข้ ปวดเมื่อยตัว และอาการคล้ายไข้หวัดเป็นเวลานาน
 
 4. กลืนลำบาก
 แม้อาการนี้จะสัมพันธ์กับมะเร็งในหลอดอาหารหรือลำคอที่สุด แต่บางครั้งอาการกลืนอาหาร
ลำบากก็เป็นสัญญาณแรกของมะเร็งปอดได้เช่นกัน
 
5. ต่อมน้ำเหลืองโตหรือก้อนที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ
 ภาวะต่อมน้ำเหลืองโตบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบน้ำเหลืองซึ่งอาจจะเป็นอาการของ
โรคมะเร็ง เป็นต้นว่า ก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองโตที่ใต้รักแร้อาจเป็นอาการของโรคมะเร็งเต้านม 
ขณะที่ก้อนที่ลำคอ รักแร้ หรือขาหนีบที่ไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรค
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
 
 6. รอยฟกช้ำหรือเลือดออกไม่หยุด 
อาการนี้มักชี้ถึงความผิดปกติของเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดแดงซึ่งอาจเป็นอาการของโรคมะเร็ง
เม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางรายพบรอยช้ำที่บริเวณแปลกๆ เช่น ตามนิ้วและ
มือ ทั้งยังมีรอยแดงที่ใบหน้า ลำคอ และหน้าอก หรือมีอาการเลือดออกที่เหงือก เนื่องจากเซลล์
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นจนไปเบียดเบียนเซลล์เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด ทำให้
ความสามารถในการนำส่งออกซิเจนและแข็งตัวของเลือดลดลง
       
 7. ปวดท้องน้อยหรือปวดท้อง 
อาการปวดท้องน้อยเพียงอย่างเดียวอาจหมายถึงได้ทั้งภาวะพังผืดในมดลูก ซีสต์ในรังไข่ และ
ความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์อื่นๆ แพทย์จึงมักไม่สงสัยเรื่องโรคมะเร็ง ดังนั้นคุณจึงควรขอให้
แพทย์ตรวจร่างกายโดยละเอียด เนื่องจากอาการปวดและตะคริวที่ท้องน้อยหรือช่องท้องอาจ
เกิดร่วมกับอาการท้องอืดซึ่งเป็นอาการของโรคมะเร็งรังไข่ได้ นอกจากนี้การขยายตัวของ
ม้ามในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็อาจก่อให้เกิดอาการปวดท้องเช่นกัน
 
8. อาการเลือดออกที่ทวารหนักหรือถ่ายปนเลือด 
หลายคนอาจคิดว่าอาการถ่ายปนเลือดเป็นแค่ริดสีดวงเป็นอาการโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

9 . อาหารไม่ย่อยหรือปวดกระเพาะ
 อาจฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก็ช่วยให้แพทย์สั่งตรวจอัลตราซาวนด์และสามารถพบมะเร็งตับ
ได้แต่เนิ่นๆ อีกทั้งอาการปวดเกร็งช่องท้องหรืออาหารไม่ย่อยเป็นประจำอาจแสดงถึงโรค
มะเร็งลำไส้ใหญ่

10. เต้านมบวม แดง หรือเจ็บ 
อาจบ่งชี้ถึงโรคมะเร็งเต้านมชนิดอักเสบ (inflammatory breast cancer) ซึ่งมีอาการบวม 
ร้อนที่เต้านม สีที่เปลี่ยนไปเป็นแดงหรือม่วงก็ถือเป็นอีกหนึ่งอาการที่ควรระวังไม่ต่างจากพบ
รอยบุ๋มคล้ายผิวส้มที่ผิวเต้านม นอกจากนี้โรคมะเร็งเต้านมชนิดอักเสบยังอาจก่อให้เกิดอาการ
อื่นๆ ที่หัวนม เช่น อาการคัน ผิวลอกเป็นแผ่น หรือแตกเป็นสะเก็ดได้อีกด้วย
    
11. ประจำเดือนมามากหรือปวดประจำเดือนผิดปกติ 
หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอย นี่คือสัญญาณของโรคมะเร็งที่เยื่อบุโพรงมดลูกหรือมดลูก 
หากคุณสงสัยว่าอาการประจำเดือนออกมากของคุณมีสาเหตุแอบแฝง ก็ลองขอให้แพทย์ทำ
อัลตราซาวนด์ผ่านช่องคลอดดูได้ค่ะ
 
12. อาการบวมที่ใบหน้า
 ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดบางรายมีอาการบวมหรือแดงที่ใบหน้า ซึ่งเป็นเพราะมะเร็งปอดชนิด
เซลล์เล็ก (small cell lung cancer) มักจะไปกดเส้นเลือดแดงในหน้าอก ทำให้เลือดไหล
เวียนจากศีรษะและใบหน้าไม่สะดวก
   
13. ความผิดปกติที่เล็บ
 จุดหรือเส้นสีดำใต้เล็บบ่งถึงอาการของโรคมะเร็งผิวหนัง ขณะที่อาการ “นิ้วปุ้ม” ซึ่งปลายนิ้วมือ
พองนูนและปลายเล็บงุ้มลงเข้าหานิ้ว อาจเป็นอาการของโรคปอด 

ถ้าเล็บที่มีสีซีดหรือเปลี่ยนเป็นสีขาวอาจมีสาเหตุมาจากการทำงานของตับที่ลดลง 
ซึ่งอาจหมายถึงโรคมะเร็งตับได้

ข้อมูลจาก http://www.teenee.com

5 กลิ่นอาหาร ที่จะช่วยให้คุณผอม!


1. กลิ่นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 


                                                 

ผลการศึกษาจากศูนย์วิจัยเคมีอาหารของเยอรมนีพบว่า เพียงสูดกลิ่นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 

ก็สามารถทำให้เรารู้สึกอิ่มขึ้นมาได้ง่าย ๆ และยังได้ทำการทดลองใส่น้ำมันมะกอกสกัดลงใน
โยเกิร์ต และพบว่า คนที่รับประทานโยเกิร์ตที่ใส่น้ำมันสกัด จะมีอัตราบริโภคแคลอรี่น้อยลง 
และมีระดับน้ำตาลในเลือดที่ดีขึ้นกว่าคนที่กินโยเกิร์ตธรรมดา นอกจากนี้น้ำมันมะกอก
บริสุทธิ์ยังช่วยกระตุ้นสารเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกอิ่ม และยังอุดมไปด้วย MUFAs 
ไขมันดีที่ช่วยเผาผลาญไขมันบนหน้าท้องเราด้วย 

2. กลิ่นกระเทียม 
                                           


กลิ่นที่รุนแรงของอาหารจะทำให้เรากินอาหารได้น้อยลง ดังนั้นหากไม่อยากรับประทานเยอะเกินไป 

ก็ลองสั่งเมนูที่มีส่วนประกอบของเครื่องเทศกลิ่นแรงอย่าง พริก กระเทียม หอม พริกไทย หรือจะใส่
เครื่องเทศเหล่านี้ลงในอาหารที่กำลังจะทานสักเล็กน้อยก็ได้


3. กลิ่นแอปเปิลเขียว และกลิ่นกล้วย 





ผลการศึกษาจากองค์กรการบำบัดด้วยกลิ่นและรสชาติพบว่า คนอ้วนที่ดมกลิ่นแอปเปิลเขียว 

และกล้วยในขณะที่หิวจัด จะลดน้ำหนักได้มากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกลิ่นหอมในระดับพอดี ๆ 
ของผลไม้ทั้ง 2 ชนิดนี้ ที่ทำให้ร่างกายควบคุมความอยากอาหารได้ดีกว่าปกติ ซึ่งนอกจาก
กล้วยและแอปเปิลเขียวแล้ว กลิ่นวานิลลาและกลิ่นเปปเปอร์มินต์ก็ใช้ทดแทนได้เหมือนกัน

4. กลิ่นยี่หร่า 




ชาวอิตาลีใช้ยี่หร่าล้างปากระหว่างมื้ออาหารเพื่อไม่ให้ทานอาหารมากเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับ

การศึกษาของ West Coast Institute of Aromatherapy ที่บอกว่า ยี่หร่ามีสรรพคุณยับยั้ง
ความอยากอาหาร และทำให้เรากินอาหารได้น้อยลง

5. กลิ่นเกรปฟรุต หรือผลไม้จำพวกส้ม 

                                       

ผลไม้ตระกูลส้มเป็นผลไม้ที่คนไดเอตมักจะทานเพื่อให้น้ำหนักลด เพราะมีไลโคปีน วิตามินซี 

และไซตรัสสูง แต่แค่กลิ่นของมันก็สามารถช่วยลดน้ำหนักได้แล้ว โดยผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย
โอกาซา ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองกับหนูและพบว่า หนูที่ได้กลิ่นน้ำมันเกรปฟรุต 15 นาที 
จะช่วยลดความอยากอาหารและทำให้น้ำหนักลดลงด้วย ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่า กลิ่นของผลไม้จำพวกส้ม 
น่าจะมีผลต่อเอนไซม์ในตับเรานั่นเอง


ภาพจากอินเทอร์เน็ตและข้อมูลจาก http://www.kruthai.info

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

นักวิจัยพบ“ซาร์ส” มาจากค้างคาว

นักวิจัยพบต้นกำเนิดโรคซาร์สมาจากค้างคาว (บีบีซี)


นักวิจัยเจอหลักฐานหนักแน่นชี้ไวรัสก่อ “โรคซาร์ส” มีกำเนิดมาจากค้างคาวจีน 
โดยพบไวรัสโคโรนา 2 ชนิด ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสก่อโรคในคน 
       
       นักวิทยาศาสตร์พบไวรัสโคโรนา 2 ชนิดในค้างคาวมงกุฏจีน (Chinese 
horseshoe bat) ซึ่งไวรัสดังกลาวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสก่อโรคซาร์ส 
(Sars) ในคน และไวรัสติดเชื้อในเซลล์มนุษย์ด้วยวิธีเดียวกัน คือ จับกับตัวรับ
(receptor) ที่เรียกว่า  ACE2
       
       การค้นพบดังกล่าว บ่งชี้ว่าไวรัสโคโรนาดังกล่าวสามารถย้ายจากค้างคาว
มาก่อโรคในคนได้โดยตรง มากกว่าจะอาศัยตัวอย่างชะมดเป็นพาหะนำโรคเหมือน
ที่เข้าใจก่อนหน้านี้ ซึ่งบีบีซีนิวส์รายงานว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ตีพิมพ์ผลงาน
ลงวารสารเนเจอร์ (Nature)
       
       อ้างตาม แกรี คราเมอริ (Gary Crameri) นักไวรัสวิทยาจากองค์การวิจัย
วิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งเครือจักรภพ (CSIRO) ออสเตรเลีย และผู้เขียน
รายงานในเนเจอร์กล่าวว่า งานวิจัยนี้เป็นกุญแจไขสู่การพิจารณาเกี่ยวกับค้างคาว
ในฐานะจุดเริ่มต้นให้เกิดการระบาดของซาร์ส
       
       งานวิจัยเผยให้เห็นว่าไวรัสโคโรนาที่คล้ายไวรัสซาร์สที่ติดต่อในคนนี้มีพันธุกรรม
คล้ายคลึงกันถึง 95% และข้อมูลดังกล่าวยังนำไปใช้เพื่อพัฒนาวัคซีนตัวใหม่และ
ยาใหม่ๆ สำหรับต่อสู้กับโรคได้ และเป็นการสาธิตถึงไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ที่
คุกคามมนุษย์ ทั้งนี้ โรคซาร์สระบาดระหว่างเดือน พ.ย.2002 - ก.ค.2003 
ซึ่งมีผู้ป่วยจากโรคนี้ทั่วโลกมากกว่า 8,000 คน และมากกว่า 770 คน เสียชีวิต

ไวรัสใช้ช่องทางเดียวกันในการจู่โจมเซลล์มนุษย์ (บีบีซี)


 ด้าน ดร.ปีเตอร์ แดสแซก (Dr.Peter Daszak) ประธานสมาพันธ์อีโคเฮลธ์ 
(EcoHealth Alliance) และหนึ่งในผู้เขียนรายงานลงวารเนเจอร์ กล่าวว่า 
ไวรัสโคโรนานั้นมีวิวัฒนาการที่รวดเร็วมาก โดยชนิดที่เพิ่งได้เห็นนี้วิวัฒนาการ
จากสปีชีส์หนึ่งไปเป็นอีกสปีชีส์ได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นเรื่องไม่ปกตินักสำหรับ
ไวรัส และคำถามสำคัญคือทำพวกมันถึงอุบัติขึ้นมาตอนนี้
       
       รายงานบีบีซีนิวส์ยังฉายภาพไปถึงตลาดค้าสัตว์ป่าของจีนที่ทั้งสัตว์อื่นๆ 
และมนุษย์ต่างเข้าไปสัมผัสกับค้างคาวอย่างใกล้ชิด สร้างสภาพแวดล้อมราว
สวรรค์สำหรับไวรัสที่จะกระโดดจากสปีชีส์หนึ่งไปยังอีกสปีชีส์หนึ่ง หรือแม้แต่
การล่าสัตว์หรืออาศัยอยู่ใกล้ถ้ำค้างคาว ก็เป็นความเสี่ยงใหญ่หลวงที่จะติดเชื้อ
ไวรัสดังกล่าว ที่ถูกขับถ่ายมาพร้อมมูลของค้างคาว
       
       การทำความเข้าใจจ่อกำเนิดของโรคติดเชื้ออย่างโรคซาร์สนี้จะช่วยให้
นักวิทยาศาสตร์เข้าไปรับมือกับไวรัสก่อโรคในอนาคตก่อนที่มันจะอุบัติขึ้น 
ผ่านความรู้ที่ว่าที่ใดคือแหล่งเพาะเชื้อ และไวรัสในตระกูลใกล้ชิดใดบ้างที่
มนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องมากที่สุด แล้วจัดการป้องกันการติดเชื้อตั้งแต่เนิ่นๆ
       
       ดร.แดสแซกกล่วว่าการค้นหาไวรัสก่อโรคในสัตว์เลี้ยงด้วยนมทั้งหมด
ต้องใช้เงินราว 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่สำคัญที่เรา
จะต้องทำ เพราะเราสามารถผลิตวัคซีน และเตรียมพร้อมชุดทดสอบเพื่อ
ค้นหาระยะแรกของการอุบัติขึ้นของเชื้อก่อโรค แล้วหาทางหยุดไวรัสเหล่านั้น

ภาพและข้อมูลจาก http://board.postjung.com/


วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คอเลสเตอรอล ล้วงลับระดับโลก



โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุลได้เขียนไว้ว่า

"ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องคนเราถูกหลอกให้ลดคอเลสเตอรอลโดยไม่จำเป็นมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน
เที่ยวนี้ขอกลับมาเล่าใหม่ ดังนี้ครับ :



คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมจู่ๆ "ภาวะ" คอเลสเตอรอลสูงซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเลยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
กลับกลายเป็น "โรค" ซึ่งสร้างความกลัว ความวิตกกังวลให้กับคนนับสิบล้านทั่วโลก?

ความ กลัวคือความทุกข์ประการหนึ่ง เป็นสิ่งที่บั่นทอนความสุขของผู้คน แต่ความกลัวก็เป็นสิ่ง
ที่บันดาลความสุขให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ คนขายยายังไงเล่า

การสร้างความกลัวดังกล่าวให้รายได้กับบริษัทยาทั่วโลกมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

คอ เลสเตอรอลเป็นสารองค์ประกอบที่จำเป็นตัวหนึ่งในร่างกายของเรา เราใช้มันสร้างเยื่อหุ้มเซลล์
สร้างฮอร์โมนเพศ สร้างฮอร์โมนคอร์ติโซลเพื่อช่วยระบบร่างกายแบกรับความเครียด

ต่อ มามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงว่า ระดับคอเลสเตอรอลสูงในเลือดมีความสัมพันธ์ต่อโรค
หัวใจหลอดเลือด แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า คอเลสเตอรอลที่ระดับเท่าไหร่จึงจะเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้

และมีประชากรจำนวนกี่คนที่จะเสี่ยงต่อเรื่องนี้จริงๆ
นายเฮนรี แกดสเดน ซึ่งเป็นประธานบริษัทเมิร์ก ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจยาซึ่งกำลังจะเกษียณอายุ
ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูนว่า"บริษัทยา ถูกจำกัดศักยภาพไว้ให้อยู่เฉพาะกับผู้เจ็บป่วย
เท่านั้น แท้จริงแล้วบริษัทเมิร์กควรทำแบบบริษัทขายหมากฝรั่ง คือผลิตยาขายให้กับ
คนสุขภาพดี ให้บริษัทสามารถขายยาให้แก่ทุกๆ คน"


แปล ฝรั่งพูดไทยให้คนไทยฟังก็คือ นายแกดสเดนคิดว่า ถ้าเขามัวแต่ขายยาลดคอเลสเตอรอล
ให้กับผู้ป่วยจริงๆ คือพวกโรคหัวใจ เขาก็จะรวยช้า จำเป็นอยู่เองที่เขาจะต้องทำให้คนปกติที่ไม่ป่วย
แต่เข้าใจว่าตัวเองป่วย และหันมากินยาลดไขมันของเขา เขาจะได้รวยเร็วขึ้น

คิดได้ดังนั้นแล้ว นายเฮนรี แกดสเดน ก็จัดการทำ "ใต้ โต๊ะ" กับคณะผู้เชี่ยวชาญชุดหนึ่งในสหรัฐ
ซึ่งมีหน้าที่กำหนดค่ามาตรฐานของคอเลสเต อรอลในเลือด ให้ปรับค่าปกติของคอเลสเตอรอลจาก
เดิมที่ 250 ม.ก./ด.ล. มาเป็น 200 ม.ก./ด.ล. งานนี้ประชุมกันในปลายปี ค.ศ.2001

ผล ก็คือ หลังการประชุมในคืนนั้นคนทั่วโลกนอนหลับไป ครั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่ามีประชากร
หลายสิบล้านคนทั่วโลก ซึ่งเมื่อวานนี้ยังเป็นคนปกติอยู่ แต่นอนหลับไปคืนเดียว ตื่นขึ้นมาก็พบว่า
ตนกลายเป็นผู้ป่วยไปเสียแล้ว

ด้วยเหตุนี้ยาสแตตินซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกัน 13 ล้านคน ในปี ค.ศ.1990 จึงเพิ่มกลุ่มประชากร
ที่ต้องบริโภคยาเป็น 36 ล้านคน ภายในชั่วข้ามคืนเดียวตามกำหนดของหลักเกณฑ์ใหม่โดย
คณะผู้เชี่ยวชาญ (ด้านการใช้ยา) ในปีดังกล่าว

ซึ่งต่อมามีความจริงที่พบว่า คณะผู้เชี่ยวชาญคณะนี้มี 14 คน มี 5 คน ที่มีความสัมพันธ์ด้านการเงิน
กับผู้ผลิตสแตติน 8 ใน 9 ของคนคณะนี้รับจ้างบรรยาย เป็นที่ปรึกษา หรือทำวิจัยให้บริษัทยา
ยักษ์ใหญ่ มีผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งรับเงินจากบริษัทถึง 10 บริษัทด้วยกัน

ความเชื่อมโยงเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ จนมีองค์กรสื่อในอเมริกานำมาเปิดโปง และเกิดวิวาทะครั้งใหญ่

ใครที่สนใจเรื่องนี้ไปหาอ่านได้ในหนังสือ "อุบายขายโรค" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นบรรณาธิการ

คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่ตกอยู่ในฐานะ นักบริโภคยาลดไขมัน

คงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้หมอเคยชี้ว่าคุณเป็นโรคคอเลสเตอรอลสูงเมื่อระดับเกิน 250 ม.ก./ด.ล.
แต่ต่อมาไม่นานกลับไปหาหมอคนเดิม ทีนี้ท่านบอกคุณว่า "มีงานวิจัยใหม่แล้วว่าคอเลสเตอรอล
ที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 200 ม.ก./ด.ล. เพราะคนที่ระดับคอเลสเตอรอลระหว่าง 200-250
ม.ก./ด.ล. ก็มีสิทธิตายด้วยหัวใจหลอดเลือดอีกตั้งเยอะ เห็นท่าจะจำเป็นจ่ายยาลดคอเลส-
เตอรอลให้คุณละนะ ไหนๆ คุณก็เบิกค่ารักษาพยาบาลได้อยู่แล้ว"
 ดังนั้น คุณก็ยอมรับอย่างน่าชื่น

แต่ คุณรู้ไหมว่า ยาลดไขมันเหล่านี้เข้าไปทำหน้าที่อย่างไรในร่างกาย ทำไมจู่ๆ คนมีนิสัยแย่ๆ
ในการกินอาหารจนคอเลสเตอรอลสูง ครั้นหันมากินยาลดไขมันแต่ยังคงดำเนินชีวิตแย่ๆ ต่อไป
แล้วคอเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลงได้

ตามหลักฟิสิกส์แล้ว สสารย่อมไม่สูญสลายไปไหน แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่า ไขมันที่คุณกินเข้าไป
อย่างตามใจปาก มันหายไปไหนหมด

คำตอบก็คือ ยาลดไขมันไปทำหน้าที่เพิ่มปุ่มรับ (receptor) บนเซลล์ตับ ให้ตับเก็บรับคอเลส-
เตอรอลจากกระแสเลือด แล้วไปซุกอยู่ในเซลล์ตับนั่นเอง

ผล ก็คือการหลอกลวงว่า ในเลือดของเราหลังกินยาแล้วหลอดเลือดสะอาด แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการ
กลบเกลื่อนหลักฐานของนิสัยบริโภคนิยมที่เหลวไหล เหมือนการกวาดเอาขยะไปซุกอยู่ใต้พรมนั่นเอง

พูดง่ายๆ ว่าไขมันเหล่านั้นย้ายที่อยู่ไปซุกอยู่ในตับ

จึงพบความจริงว่าใครก็ตามกินยาลดไขมันไป 3-5 ปี ขอท้าพิสูจน์ให้ไปตรวจอัลตราซาวด์ตับได้เลย
จะพบผู้คนจำนวนมากที่กลายเป็นโรคไขมันพอกตับไปแล้ว

แถมปัจจุบันนี้คนที่กินยาจนคอเลสเตอรอลต่ำมากแล้ว หมอยังไม่ยอมเลิกจ่ายยา แต่บอกผู้ป่วยว่า
 "คุณต้องกินยาตลอดชีวิต"

เรื่อง ของคอเลสเตอรอลจึงมีเรื่องราวซ่อนเงื่อนทางธุรกิจอยู่มากมาย และผู้บริโภคก็ตกเป็นเหยื่อ
ของการแพทย์พาณิชย์ นี่คือประเด็นที่หนึ่งที่จะชี้ให้เห็นในวันนี้ "
ข้อมูลจาก http://www.kaanpayakorn.net/

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิจัยพบ 15 ล้านคนทั่วโลก ผ่านการศัลยกรรม


          เมื่อต้นปี 2012  เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ รายงานว่า สมาคมศัลยกรรมเสริม
ความงามนานาชาติ หรือ ISAPS ได้เผยผลสำรวจแนวโน้มการศัลยกรรมเสริมความงาม
เมื่อ ปี 2011 ที่เพิ่งมีการเผยแพร่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า มีประชาชน
ทั่วโลกเกือบ 15 ล้านคน ที่ทำศัลยกรรมปรับแต่งรูปร่างหน้าตา ด้านไทยติดอันดับ 22 
ของโลก ประเทศที่มีการศัลยกรรมสูงสุด, เป็นอันดับ 5 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 1 
ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
       
         สำหรับประเทศที่ประชากรศัลยกรรมมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น ประเทศเกาหลีใต้
เนื่องจากการสมัครเข้าทำงานในเกาหลีใต้จะดูที่รูปลักษณ์หน้าตาเป็นสำคัญ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า 
เหตุใดธุรกิจศัลยกรรมในเกาหลีใต้จึงเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก โดยจากการสำรวจเมื่อปี 2012 
พบว่าร้อยละ 20 ของผู้หญิงอายุระหว่าง 19-49 ปี ของกรุงโซล ยอมรับว่าเคยผ่านมีดหมอ
มาแล้ว และใน 77 คน จะมี 1 คนที่เคยผ่านศัลยกรรมเสริมความงามมา ขณะที่ประเภท
ศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือการทำตาสองชั้น เพื่อจะได้เหมือนชาวตะวันตกมากขึ้น   

         รายงานยังระบุด้วยว่า ศิลปินไซ เจ้าของเพลงฮิตระดับโลก "กังนัม สไตล์" ยอมรับว่า
เจ้าของค่ายเพลงเคยร้องขอให้เขาทำศัลยกรรมเสริมความงาม ขณะที่แม้แต่ คิม ยูมิ 
นางงามเกาหลีใต้ ก็สารภาพว่า ได้พึ่งพามีดหมอ จนสามารถคว้ามงกุฎมาครอบครอง
ได้สำเร็จ

สำหรับ 25 อันดับประเทศที่มีการศัลยกรรมสูงสุดเรียงลำดับ มีดังนี้

         1. เกาหลีใต้

         2. กรีซ

         3. อิตาลี

         4. สหรัฐอเมริกา

         5. โคลัมเบีย

         6. ไต้หวัน

         7. ญี่ปุ่น

         8. บราซิล

         9. ฝรั่งเศส

         10. เม็กซิโก

         11. แคนาดา

         12. เนเธอร์แลนด์

         13. สเปน

         14. เยอรมนี

         15. เวเนซูเอลา

         16. ออสเตรเลีย

         17. โรมาเนีย

         18. ซาอุดีอาระเบีย

         19. ตุรกี

         20. สหราชอาณาจักร

         21. อาร์เจนตินา

         22. ไทย

         23. รัสเซีย

         24. จีน

         25. อินเดีย


ภาพและข้อมูลจาก http://women.kapook.com

หนุ่มออสซี่ดื่มน้ำอัดลมปทุกวัน ต้องใส่ฟันปลอมทั้งปาก


เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2556 เว็บไซต์นิวส์ดอทคอมดอทเอยู รายงานว่า นายวิลเลี่ยม 
เคนเนเวลล์ อายุ 25 ปี จากประเทศออสเตรเลีย คงเป็นตัวอย่างชั้นยอดที่บอกเราว่า 
น้ำอัดลมธรรมดา ๆ สามารถทำอันตรายต่อสุขภาพและฟันของเราได้ เมื่อนายเคนเนเวลล์
 เริ่มเสพติดการดื่มน้ำอัดลม โดยเขาดื่มน้ำอัดลมเข้าไปทุกวัน วันละ 6-8 ลิตร
 เป็นระยะเวลา 3 ปี จนตอนนี้ฟันเขาผุหมดทั้งปาก และทำให้เขาต้องใส่
ฟันปลอมเข้าไปแทน

             ทั้งนี้ นายเคนเนเวลล์ ได้เมินเฉยต่อคำเตือนของทันตแพทย์ ที่บอกถึง
ปัญหาอันอาจเกิดจากนิสัยติดน้ำอัดลม ว่า น้ำอัดลม จะทำลายฟันของเขาไปเรื่อยๆ 
จนต้องถอนฟันออกหมด และต้องใส่ฟันปลอมเข้าไปแทน

             ด้านนายเคนเนเวลล์ กล่าวว่า มีคนบอกเขาว่า คนทั่วไปจะมีฟันทั้งหมด
ประมาณ 32 ซี่ แต่ตอนนี้เขาเหลือฟันทั้งหมดแค่ 13 ซี่ และจำเป็นต้องถอนออก
ให้หมด ทั้งนี้ นิสัยติดน้ำอัดลมของเขาเริ่มมาจากการที่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า และ
เนื่องจากเขาทำงานในธุรกิจโรงแรม ทำให้เขาเข้าถึงน้ำอัดลมได้ง่าย หลังจากนั้น 
ฟันของเขาเริ่มผุอย่างหนัก จนทำให้เขาเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ และทำให้เขาล้มป่วยลง 

             ด้านนายแพทย์เจสัน อาร์มฟิลด์ จากสถาบันวิจัยสุขภาพในช่องปาก
ของออสเตรเลีย ได้มีการเรียกร้องให้ติดคำเตือน ที่รวมถึงความเสี่ยงต่ออาการฟันผุ 
เอาไว้ตรงฉลากข้างขวดน้ำอัดลม โดยนายแพทย์อาร์มฟิลด์ กล่าวว่า จากการศึกษา
ในเด็กออสเตรเลียกว่า 16,800 คน พบว่า เด็กอายุระหว่าง 5-16 ปี กว่า 56 เปอร์เซ็นต์ 
จะดื่มน้ำหวานทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้ ซึ่งนายเคนเนเวลล์เอง ก็เห็นด้วย
กับการติดฉลากเตือนเอาไว้ แต่กลับมีคำถามว่า การติดฉลากแบบนี้ จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน


ภาพและข้อมูลจาก http://health.kapook.com

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รู้เท่าทันโรคสมองเสื่อม

   คงจะดีไม่น้อย หากสามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ผล แต่น่าเสียดายทำได้เพียงชะลออาการเท่านั้น 

        ภาวะสมองเสื่อมอาจค่อยเป็นค่อยไปหรือเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ เช่น ถ้าเป็นโรคอัลไซเมอร์ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจใช้เวลานาน 5-6 ปี แต่ถ้าเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ แตกหรือตัน จะใช้เวลาเป็นเดือน หรือบางรายเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในสมอง ใช้เวลาสั้นเพียง 1-2 สัปดาห์ก็มี 



 นอกจากนี้ โรคทางจิตเวชหลายโรคอาจมีอาการคล้ายโรคสมองเสื่อมได้ เช่น โรคซึมเศร้า และโรคจิต 
นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาแยกโรคสมองเสื่อมออกจากผู้ป่วยที่มีอาการเพ้อ สับสนจากสาเหตุทางกาย 
ซึ่งมักจะรู้สึกตัวไม่ค่อยดี หรือมีการเปลี่ยนแปลงของระดับการรู้สึกตัวในระหว่างวันได้ เช่น อาการสับสน
ที่เกิดขึ้นภายหลังการชัก ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย เป็นต้น

       ในการรักษาผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม จะมีทั้งจิตแพทย์ อายุรแพทย์สาขาประสาทวิทยาและสาขาปัจฉิมวัย
ร่วมกัน แต่จะรักษากับใครก่อน ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยจะสะดวกไปพบแพทย์ และจะหายขาดหรือไม่ ต้องดูว่า
โรคสมองเสื่อมเกิดจากสาเหตุใด

       โดยทั่วไปประมาณร้อยละ 15 ของผู้ป่วยสมองเสื่อมอาจสามารถรักษาให้หายได้ ถ้าสาเหตุนั้นเกิดจาก
ภาวะเลือดคั่งที่ผิวสมอง โพรงน้ำในสมองขยายตัว ขาดวิตามิน B ต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ 
เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เกิดจากเยื่อหุ้มสมองบริเวณฐานสมอง หรือลมชักที่ไม่ได้รับการควบคุมรักษาที่ดี
และถูกต้อง ทั้งนี้ ต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง รวดเร็ว และทันท่วงทีเพื่อไม่ให้สมองถูกทำลายไปมาก 
และสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ มิเช่นนั้นแล้วอาจหลงเหลืออาการของภาวะสมองเสื่อมในผู้ป่วยกลุ่มนี้
ได้เช่นกัน

       เมื่อตัดสินใจไปรับการรักษา เบื้องต้นแพทย์จะซักถามประวัติจากผู้ป่วยและผู้ดูแลใกล้ชิด ตรวจ
ร่างกายและตรวจสภาพจิตใจ (รวมถึงตรวจการทำงานของสมอง) ตรวจเลือด เพื่อแยกว่าผู้ป่วยมีภาวะ
สมองเสื่อมจริงหรือเป็นเพียงอาการหลงลืมตามวัยเท่านั้น และหากมีภาวะหลงลืมจริง สาเหตุนั้นเกิดจาก
อะไร รวมถึงประเมิน ปัญหาในการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมร่วมกับประเมินสภาพจิตใจของผู้ดูแลผู้ป่วยด้วย 
บางรายแพทย์อาจส่งเอกซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง
เพิ่มเติมประกอบการวินิจฉัยด้วย จากนั้นแพทย์จะรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมก่อน 

        หากไม่สามารถรักษาได้ จะแก้ไขด้วยการปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยร่วมกับการให้ยา
ชะลอภาวะสมองเสื่อม และ/หรือให้ยาเพื่อควบคุมอารมณ์ พฤติกรรม หรือภาวะอื่นทางจิตเวชที่พบในผู้ป่วย
สมองเสื่อมควบคู่กันไป (ในกรณีที่การปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยไม่ได้ผล) อย่างไรก็ตามยัง
ไม่มียาตัวใดในปัจจุบันที่สามารถรักษาภาวะสมองเสื่อมให้หายขาดได้ เป็นเพียงชะลอการดำเนินโรคของ
ภาวะสมองเสื่อมเท่านั้น 
       
       อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยมีระดับการศึกษาสูง ไม่สูบบุหรี่ มีการใช้ความคิดวางแผนแก้ปัญหา
เป็นประจำ ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมบ่อย ๆ 
และตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม เช่น โรคเบาหวาน 
ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง หรือถ้าเป็นโรคดังกล่าวแล้วพบแพทย์สม่ำเสมอ 
เพื่อควบคุมอาการของโรคให้อยู่ในภาวะปกติ ก็อาจช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้

ภาพโดย ผศ.พญ.กอบหทัย สิทธิรณฤทธิ์และข้อมูลจากhttp://www.manager.co.th/

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

10 สุดยอดสิ่งขยะแขยงที่พบในอาหาร

10 สิ่งที่คุณอาจเคยเจอในอาหารของคุณ เรารวมอันดับความน่าขยะแขยง
ของสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาอยู่ในอาหารต่างๆที่คุณคิดว่ามันไม่น่าจะมาอยู่ได้
ลองมาดูกันว่า 10 สิ่งจะมีอะไรกันบ้าง



อันดับ 1 หัวไก่ในชุด happy meal 

เมื่อคุณแม่และคุณลูกชาวอเมริกันได้หัวไก่แถมมาด้วยในชุด happy meal สุดท้ายได้เงินชดเชยไป 100000 ดอลล่า !!

อันดับ 2 มีดยาว 7 นิ้วในขนมปัง 
ชายหนุ่มคนนึงได้ซื้อขนมปังจากร้าน subway ถึงกับช็อคเมื่อเกือบจะได้กินขนมปังใส้มีด

อันดับ 3 กบในกระป๋องเปปซี่ 
เมื่อนาย Fred Denegri กำลังทำบาบีคิวกินกันที่สวนหลังบ้าน หลังจากเปิดกระป๋องแล้วซดทันใดนั้นลิ้นได้สัมผัสถึงอะไรหยุ่นๆในกระป๋อง หลังจากเอาไปส่งตรวจที่ห้องแลปถึงได้รู้ว่ามันเป็นกบ !!!

อันดับ 4 นิ้วในคัสตาร์ดแช่แข็ง 
ชายหนุ่มคนนึงถึงกับกรี๊ดเมื่อได้เจอนิ้วมนุษย์ในคัสตาร์ทที่ซื้อมา

อันดับ 5 ขนมปังหนูอบ 
เมื่อนาย Stephen Forse ได้ซื้อขนมปังจากร้านแห่งนึงในเมือง Bicester ในเดือนมกราคม ปี 2009 ได้ถึงกับช็อคเมื่อเจอหนูทั้งตัวอบมาพร้อมกับขนมปัง ในขณะที่กำลังจะทำแซนวิชให้เด็กๆ

อันดับ 6 แมลงสาบในขนม golden boy 
เมื่อชายคนนึงได้กินขนมไป 1/3 ห่อแล้วได้มาเจอแมลงสาบเคลือบเม็ดงาแถมมาด้วย

อันดับ 7 อุจาระในไอศกรีม !!! 
เมื่อเชฟโดนครอบครัวนึงต่อว่าในเรื่องๆนึงก็เลยเสริฟไอศกรีมอุจาระมาให้ซะเลย


อันดับ 8 กบในผักแช่แข็ง 
สามีกับภรรยาคู่นึงถึงกับช็อคเมื่อได้เจอกบในถุงผักแช่แข็งที่ซื้อมาจากร้านค้าในพื้นที่

อันดับ 9 ใยถุงมือติดมาพร้อมก้อนขนมปัง 
หญิงคนนึงในไอร์แลนด์เหนือได้เจอเศษถุงมือติดมาพร้อมกับขนมปังที่เธอซื้อมา

อันดับ 10 ซากหนูในขวดแกง... !!! 
เมื่อ Cate Barrett ได้ซื้อ masala ซอส มาขวดนึงและข้างในขวดแถมซากหนูมาด้วยจากร้านค้าในท้องถิ่น


ภาพและข้อมูลจาก http://gotcha.co.th