แพทย์ทางเลือกแนะใช้"รางจืด"ล้างพิษกลุ่มเสี่ยงสารพิษ

24 มีนาคม นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า
ประชาชนที่อยู่ใกล้บ่อขยะที่เกิดไฟไหม้ที่ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ รัศมี 1 กิโลเมตร เป็น
กลุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับอันตรายจากการสะสมของสารพิษ โดยเฉพาะสารพิษที่เกิดจากการฉีดน้ำดับเพลิง
และไหลลงไปตามแม่น้ำลำคลอง อาจมีการปนเปื้อนสารพิษจำพวกยาฆ่าแมลง และโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว
แคดเมียม เป็นต้น ทั้งนี้ กรมได้ประสานวอร์รูมกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ระดับจังหวัด ในการจัดเตรียม
ชุดสุมนไพรกลุ่มล้างพิษ ได้แก่ แคปซูลรางจืดจำนวน 300 ขวดๆ ละ 60 เม็ด สำหรับกลุ่มเสี่ยงสูงกิน
มื้อละ 2 แคปซูล 3 มื้อต่อวัน ชาชงรางจืดสำหรับใช้ดื่มและอาบล้างสารพิษ จำนวน 600 ซอง ยาหอม
และบาล์มสมุนไพรแก้บรรเทาอาการปวดเมื่อยและแก้อาการคลื่นไส้ วิงเวียน จากการสูดดมควัน จำนวน
 300 ขวดเพื่อมอบให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่

นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า รางจืดมีผลวิจัยทั้งของกรมฯ โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ชี้ชัดว่า มีสรรพคุณ
ช่วยแก้พิษต่างๆ ได้ ทั้งยาเบื่อ ยาสั่ง ยาฆ่าแมลง พืชพิษ รวมไปถึงช่วยในการอดเหล้า อดบุหรี่ อดยาเสพติดด้วย
ในอดีตรู้จักในชื่อยาเขียว เช่น รพ.เจ้าพระยายมราช จ.สุพรรณบุรี พบว่า ผู้ที่กินยาฆ่าหญ้าเกิน 1 ช้อนชา
 จะตายภายใน 7 วัน 100% แต่จากการใช้รางจืดผสมน้ำล้างท้องและให้กินน้ำรางจืด พบว่า ช่วยให้ผู้ป่วย
รอดตายได้ถึง 50% และขณะนี้ได้มีการบรรจุรางจืดเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว โรงพยาบาลต่างๆสามารถ
สั่งจ่ายให้กับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลได้ และแผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลมีไว้เพื่อทำการล้างท้อง


"รางจืดมีผลวิจัยชัดเจนว่าช่วยลดสารพิษในกลุ่มยาฆ่าแมลงได้ แต่พวกสารตะกั่วและแคดเมียมยังไม่มีผลวิจัย
ที่แน่ชัด แต่รางจืดจะช่วยปกป้องอวัยวะภายใน เช่น ตับ และสมอง ไม่ให้ถูกสารพิษเหล่านี้ทำลายไปมากยิ่งขึ้น
 ส่วนกลุ่มซัลเฟอร์ไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ก็สามารถใช้ล้างสารพิษได้ แต่
ทางที่ดีที่สุดคือการใช้น้ำสะอาดล้าง และใช้บัวบกป้องกันผิวจะดีที่สุด ทั้งนี้ รางจืดมีสรรพคุณเป็นยาเย็น
กินแล้วอาจเกิดอาการเหน็บชา และเมื่อกินในปริมาณสูงๆ เกิน 600 มิลลิกรัม ก็จะไปลดน้ำตาลในเลือด
ซึ่งผู้ที่ป่วยโรคเบาหวานต้องระวัง อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ แต่จากการศึกษาวิจัยพบว่า
การกินรางจืดต่อเนื่องเกิน 6 เดือน ไม่ก่อให้เกิดพิษต่อร่างกาย" นพ.ธวัชชัย กล่าว

ภาพและข้อมูลจาก http://breakingnews.nationchannel.com/